30.12.08

ความเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก

ความเสี่ยงของมะเร็งในช่องปาก

ในช่องปากมีอวัยวะสำคัญหลายส่วน เหงือก ฟัน ลิ้น เพดานบน กระพุ้งแก้ม ฐานของลิ้น ริมฝีปาก หากมีการเปลี่ยนแปลงของเนื้อเยื่อบริเวณเหล่านี้ คุณต้องระวัง ! ส่วนใหญ่มะเร็งช่องปาก คุณสามารถป้องกันได้ ถ้าหากให้ความสำคัญต่อความเสี่ยงต่างๆ และอย่าใกล้ชิดมัน อะไรบ้างที่เป็นความเสี่ยง ?

1.บุหรี่ นอกจากมีผลทำให้เกิดมะเร็งปอดถึง 87% แล้ว บุหรี่มีผลทำให้เกิดมะเร็งในหลอดลม ลำคอ และมะเร็งช่องปากด้วย 90% ของมะเร็งในช่องปากพบในคนสูบบุหรี่ ซึ่งคนที่สูบบุหรี่มีโอกาสเป็นมะเร็งมากกว่าคนไม่สูบถึง 6 เท่า นอกจากนี้ยังรวมถึงคนที่สูบซิการ์ pipe การเคี้ยวยาเส้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์จากบุหรี่ สารเคมีที่มีอยู่ในยาเส้น เป็นสารก่อมะเร็งทำให้เกิดมะเร็งบริเวณแก้ม ริมฝีปาก เหงือก ส่วนคนไม่สูบบุหรี่เลย แต่ใกล้ชิดควันของคนที่สูบบุหรี่ อยู่ในสถานที่มีควันบุหรี่มากๆ แล้วสูดเอาควันบุหรี่เหล่านั้น ก็มีสิทธิ์เป็นมะเร็งได้เช่นกัน

2.แอลกอฮอล์ ดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ มีโอกาสเสี่ยงต่อมะเร็งในช่องปาก 75-80% มะเร็งช่องปากเกิดขึ้นในคนที่ดื่มจัด และมีโอกาสเป็นมะเร็งมากถึง 6 เท่าของคนที่ไม่ดื่ม แต่ถ้าทั้งดื่มจัด สูบบุหรี่มาก ความเสี่ยงต่อมะเร็งช่องปากจะสูงขึ้นเป็นทวีคูณ

3.แสงอัลตร้าไวโอเลต พบว่า 30% ของคนที่เป็นมะเร็งที่ริมฝีปาก เกิดในคนที่มีอาชีพกลางแจ้ง ถูกแสงแดดประจำ วิธีที่จะลดความเสี่ยงคือให้ทา lip palm ที่มีสารป้องกันรังสียูวี หรือใส่หมวกกันแดดโดนริมฝีปากและผิวหนัง

4.มีสิ่งระคายเคืองในช่องปากอยู่เสมอ เช่น
- ฟันปลอมที่หลวม ใส่แล้วมีแผลในช่องปาก เป็นเวลานานๆ ไม่หาย
- มีฟันผุ คม บาดลิ้น เวลาเคี้ยวอาหาร หรือพูด
- ฟันปลอมที่แตกหักแล้วขูดช่องปากอยู่เสมอ

5.อาหาร ที่มีไขมันสูง เนื้อแดง เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง หากเราได้รับประทานผัก ผลไม้ที่มีกากใยมากๆ ก็จะลดความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเช่นกัน

6.อายุ มะเร็งในช่องปาก มีสถิติพบมากในคนอายุมากขึ้น โดยเฉพาะอายุ 35 ปีขึ้นไป

7.เพศ มะเร็งช่องปากพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงถึง 2 เท่า น่าจะมีเหตุผลจากผู้ชายดื่มและสูบบุหรี่มากกว่าคุณผู้หญิง

หากมีสิ่งผิดปกติดังต่อไปนี้ ให้รีบปรึกษาทันตแพทย์หรือแพทย์ประจำตัวทันที

มีสีที่เปลี่ยนแปลงชัดเจนในช่องปาก เช่น มีสีแดงจัด ฝ้าขาวตามกระพุ้งแก้ม
-มีลักษณะเนื้อหนาตัวขึ้น หรือมีผิวหยาบๆ
-เป็นแผลในช่องปาก เลือดไหลง่าย
-พูด กลืน ขยับลิ้นลำบาก
-มีกลิ่นปาก
-ฟันโยก เก ขากรรไกรบวม
-เป็นแผลในช่องปากเป็นเวลานานๆ ไม่หาย นอกจากในช่องปาก อาการภายนอกที่ร่วมกับมะเร็งที่น่าสังเกต คือ น้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ มีก้อนคลำได้บริเวณลำคอ

มะเร็งในช่องปากนั้นหากพบในระยะเริ่มต้นจะรักษาไม่ยุ่งยากและประสบความสำเร็จสูง แต่หากคุณเลี่ยงไม่นำมาซึ่งความเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าว ก็จะช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดมะเร็งในช่องปากได้ การพบทันตแพทย์ตรวจสุขภาพในช่องปากเป็นประจำจะมีประโยชน์อย่างยิ่ง ไม่เฉพาะเรื่องฟัน และเหงือกเท่านั้น แต่ทันตแพทย์เป็นผู้ที่คุ้นเคยกับอวัยวะส่วนนี้ สามารถตรวจพบสิ่งผิดปกติได้ง่าย เพื่อรู้ก่อนและสามารถป้องกันได้ก่อน


ที่มา : sanook.com

29.12.08

Chocolate ของหวานที่ไม่ธรรมดา

Chocolate ของหวานที่ไม่ธรรมดา

Chocolate เป็นขนมหวานที่น้อยคนนักจะปฏิเสธว่าไม่ชอบ เพราะรสชาติของความอร่อยที่หอมหวานมันเข้มข้น มันช่างยั่วน้ำลายดีจริงๆ แล้วอย่างนี้ใครจะอดใจไหว แต่เมื่อได้รับประทานเข้าไปก็จะหยุดไม่ได้ แคลอรี่ในร่างกายก็พุ่งปรี๊ดขึ้นมาพร้อมๆกับน้ำหนักตัว พอเห็นแบบนี้แล้วสาวๆ ก็เลยเลี่ยงที่จะกิน ช็อกโกแลต ทั้งที่อยากจะกินแทบแย่ แต่ถ้าเรารู้วิธีการทาน ช็อกโกแลต ที่ถูกวิธี รวมทั้งประโยชน์ที่จะได้รับแล้ว ยังไงก็ไม่มีทางอ้วนหรอกค่ะ

ในช็อกโกแลตร้อน 1 ถ้วย มีปริมาณสารคาเฟอีนประมาณ 10 มิลลิกรัม ซึ่งน้อยกว่าในกาแฟถึง 10 เท่า แต่สามารถช่วยกระตุ้นร่างกายให้มีความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าขึ้นได้เช่นเดียวกัน แถมยังช่วยลดความเครียดได้อีกด้วย เพราะในช็อกโกแลตมีสารบางชนิดที่ไปช่วยกระตุ้นให้สมองหลั่งสารเคมีแห่งความสุขที่ชื่อ “เอ็นดอร์ฟิน” (Endorphin) ออกมาช่วยปรับอารมณ์ ทำให้เรามีอารมณ์ดีไม่หงุดหงิดง่าย อีกทั้งสาวๆที่เลือดจะไปลมจะมาทั้งหลาย ช็อกโกแลตก็สามารถช่วยได้ไม่ว่าจะลดอาการปวดท้อง หน้าบวม ตัวบวม ก่อนมีประจำเดือนอย่างได้ผล

จากการศึกษา Athens Medical School ประเทศกรีซ กล่าวว่า การรับประทานช็อกโกแลตช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดได้ โดยช็อกโกแลตมีสารต้านอนุมูลอิสระ “ฟลาโวนอยด์” (Flavonoid) ซึ่งเป็นชนิดเช่นเดียวกับไวน์แดง พืชผัก ผลไม้ และใบชา

ดังนั้นการรับประทานช็อกโกแลตในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากไม่น้อยจนเกินไป นอกจากจะช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือดแล้ว ยังช่วยให้การไหลเวียนของเลือดดีขึ้น ช่วยควบคุม ความดันโลหิต ช่วยลดอัตราเสี่ยงการอุดตันของหลอดเลือด ป้องกันการเกิดโรคหัวใจ หรือช่วยในการป้องกันโรคมะเร็งบางชนิดได้ ที่สำคัญยังช่วยให้แก่ช้าได้อีกด้วยค่ะ

ทั้งนี้ยังสามารถช่วยแก้อาการเมาค้าง หรือ Hangover ได้ด้วยซึ่งจะได้เลิกเมาค้างข้ามวันข้ามคืนไงคะ และยังช่วยลดอาการอักเสบเวลาเจ็บป่วยต่างๆ มีผลต่อสมอง เพราะช่วยให้ตื่นตัวและยังช่วยให้กระฉับกระเฉงอีกด้วยค่ะ

แม้เพียงรับประทานช็อกโกแลตในครั้งแรกก็ได้รับประโยชน์ดังกล่าวแล้ว และแม้ว่าช็อกโกแลตจะมีกรดสเตียริคซึ่งเป็นไขมันอิ่มตัวในปริมาณสูง แต่ก็ไม่เกี่ยวข้องกับการเพิ่มของระดับคลอเลสเตอรอลแต่อย่างใด แต่ไม่ใช่ว่าช็อกโกแลตทุกประเภทจะมีปริมาณพีนอลเท่ากัน ช็อกโกแลตที่ผสมนมจะมีปริมาณพีนอลน้อยกว่าช็อกโกแลตล้วนๆ 2-4 เท่า ซึ่งช็อกโกแลตที่มีปริมาณโกโก้มากเท่าไหร่ ก็จะมีสารต้านอนุมูลอิสระในปริมาณมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม มีรายงานของจุลสาร American Journal of Clinical Nutrition ระบุว่า เราได้รับประโยชน์จากช็อกโกแลตหากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น โดยการรับประทานช็อกโกแลตดำประมาณครึ่งออนซ์ จะทำให้ความสามารถในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ของร่างกายเราเพิ่มขึ้นประมาณ 4 เปอร์เซ็นต์ และปริมาณของ LDL หรือ Low-density Lipoprotein Cholesterol ซึ่งเป็นคลอเลสเตอรอลที่เป็นพิษก็จะลดลงเช่นกันหลาย

ท่านที่ละเลยคุณประโยชน์จากช็อกโกแลตไป หรือบางคน อาจจะกลัวอ้วนเนื่องจากนมหรือน้ำตาลที่ผสมอยู่ในช็อกโกแลต ถ้าหันมา รับประทานช็อกโกแลตที่มีนมหรือน้ำตาลในปริมาณต่ำ ก็จะได้รับประโยชน์จากสารต้านอนุมูลอิสระไม่น้อยทีเดียวค่ะ อร่อยด้วยมีประโยชน์ด้วย แหมช่างคุ้มจริงๆ ค่ะ

28.12.08

6 ข้อสังเกตอาการต้อกระจก

6 ข้อสังเกตอาการต้อกระจก

ต้อกระจกเป็นปัญหาที่พบได้ทั่วไปในผู้สูงอายุ และอาจพบบ้างในวัยอื่นๆ ต้อกระจกเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของโปรตีนภายในเลนส์ตา และหากเกิดร่วมกับบางโรคอาจทำให้เลนส์ขุ่นขึ้นได้เร็วกว่าปกติ เช่น เบาหวาน เป็นต้น ซึ่งในระยะแรกผู้ป่วยมักไม่รู้ตัวว่าเป็นโรคนี้ แต่ก็มีอาการที่พอสังเกตได้ดังนี้

1.ตามัวลง เห็นภาพพร่ามัวหรือเลือนลาง เนื่องจากเลนส์เป็นฝ้าขุ่นจนสายตาไม่สามารถโฟกัสได้โดยมากจะค่อยๆมัวลงทีละน้อย นอกจากอุบัติเหตุหรือโรคบางชนิด อาจมัวได้อย่างรวดเร็ว


2.ต้องเปลี่ยนแว่นบ่อย เพราะสายตาสั้นมากขึ้น คือการมองไกลจะไม่ค่อยชัด และการมองระยะใกล้จะชัดเจนกว่า พบในต้อกระจกบางชนิด


3.มีปัญหาการมองเห็น โดยเฉพาะเมื่ออยู่ในที่แสงจ้า หรือการมองดวงไฟในเวลากลางคืน


4.ตาข้างหนึ่งอาจเห็นภาพซ้อน ซึ่งเกิดจากแสงที่กระทบเรตินากระจายออกหลายจุด

5.มองเห็นสีต่างๆ เปลี่ยนไปจากเดิม โดยเฉพาะสีเหลือง

6.ปวดตาและมีต้อหินแทรก อาการนี้อันตรายมากค่ะ เพราะสายตาจะมัวไปเรื่อยๆ และแก้ไขให้มองเห็นใหม่ได้ยากหรือบางครั้งไม่ได้เลย


ถ้าเริ่มมีอาการผิดปกติเกิดขึ้นกับตาของคุณ ควรรีบปรึกษาจักษุแพทย์ใกล้บ้าน และหากคุณมีอายุมากกว่า 60 ปี อย่าลืมตรวจตาเป็นประจำทุกๆ ปีนะคะ

ที่มา : ชีวจิต

27.12.08

ขอบขนมปังมีประโยชน์

ขอบขนมปังมีประโยชน์

Q : เคยได้ยินมาว่าส่วนของขนมปังที่มีไฟเบอร์มากที่สุดคือบริเวณขอบขนมปัง ทำให้เกิดความสงสัยว่าขนมปังเวลาอบก็ใช้แป้งอบเป็นก้อนเดียว กันไปเลย แต่เหตุไฉนไฟเบอร์จึงมีปริมาณสูงแค่บริเวณขอบ

A : ไม่ใช่ไฟเบอร์ แต่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ดร.โทมัส ฮอฟมานน์ นักวิจัยแห่งมหาวิทยาลัยมุนสเตอร์ เยอรมนี เป็นผู้พบว่าขอบขนมปังเป็นแหล่งสารต้านอนุมูลอิสระอันอุดมสมบูรณ์มากกว่าส่วนอื่นๆ ของขนมปัง งานวิจัยของเขามาจากการตรวจสอบขอบขนมปัง เนื้อขนมปัง และแป้งธรรมดา พบว่าขอบขนมปังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่เรียกว่า โพรนีลไลซีน (pronyl-lysine) มากกว่าในส่วนที่เป็นขนมปังขาว 8 เท่า ขณะที่แป้งธรรมดาไม่มีเลย หมายความว่าสารต้านอนุมูลอิสระที่ว่า จะเกิดขึ้นต่อเมื่อขนมปังผ่านกระบวนการอบมาแล้วเท่านั้น

สารโพรนิลไลซีนเกิดขึ้นจากปฏิกิริยาของกรดอะมิโนแอล-ไลซีน แป้ง และน้ำตาล ในขั้นตอนการอบ เรียกว่าปฏิกิริยาเมลาร์ด (Maliiard reaction) ซึ่งเป็นตัวการที่ทำให้เกิดสีน้ำตาลบนผิวหน้าของขนมปังที่ผ่านการอบแล้ว และกระ บวนการนี้ยังเป็นตัวสร้างสารให้กลิ่น รสชาติให้ขนมปัง รวมทั้งสารต้านอนุมูลอิสระตัวอื่นๆ

งานวิจัยบอกด้วยว่าขนมปังที่มีสีน้ำตาลเข้ม เช่น ขนมปังโฮลวีท มีสารต้าน อนุมูลอิสระมากกว่าขนมปังสีขาว และสารต้านอนุมูลอิสระจะยิ่งเพิ่มจำนวนหากก้อนขนมปังที่เข้าเตาอบมีขนาดเล็ก เพราะชิ้นขนมปังเล็กๆ จะมีพื้นผิวที่มากขึ้นในการเกิดปฏิกิริยาในกระบวนการนี้ หากเทียบกับขนมปังที่เป็นก้อนใหญ่ หรือเป็นปอนด์ แต่ฮอฟมานน์เตือนว่า ถ้าพยายามอบขนมปังให้เป็นสีน้ำตาลจนเกรียมมากไป สารเคมีที่มีประโยชน์ก็จะอันตรธานได้ง่ายๆ เหมือนกัน

ทั้งนี้ วิธีการที่ทำให้ขอบขนมปังมีประโยชน์คือการอบ จากที่กระบวนการอบเป็นการเปลี่ยนสภาพที่ยังดิบให้สุกโดยการใช้ความร้อน ซึ่งทั่วไปแล้วเตาอบ จะมีอุณหภูมิระหว่าง 191-232 องศาเซลเซียส ระยะเวลาในการอบขึ้นอยู่กับขนาดและส่วนผสมของขนมปังแต่ละชนิด ในขณะอบจะเกิดการเปลี่ยนแปลง ทางกายภาพและทางเคมีในโด คือ

ความร้อนจะแผ่กระจายไปยังโด กระตุ้นให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มีแรงดัน น้ำกลายเป็นไอและแอลกอฮอล์ขยายตัว ช่วยกันดันโครงร่างของโดให้มี ปริมาตรเพิ่มขึ้น

ขณะเดียวกันความร้อนในช่วงแรกของการอบจะกระตุ้นการทำงานของยีสต์และเอนไซม์ให้เกิดกระบวนการหมักเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดก๊าซและแอลกอฮอล์ เสริมขึ้นมา ซึ่งโดยปกติยีสต์จะหยุดการทำงานที่ 43 องศาเซลเซียส และจะตายที่อุณหภูมิ 54 องศาเซลเซียส เมื่อความร้อนเพิ่มขึ้นสตาร์ชจะพองตัวและกลายเป็น
เจล ขณะขนมปังสุกนี้ สตาร์ชจะเปลี่ยนแปลง โดยเฉพาะอะมิโลสจะเคลื่อนย้ายออกจากเม็ดสตาร์ช เมื่อทำให้ขนมปังเย็นและทิ้งไว้นาน อะมิโลสจะเปลี่ยนแปลงกลับ มีลักษณะขุ่นเป็นตะกอนขาวอีกครั้ง

ในระหว่างที่สตาร์ชเกิดเจลนั้นจะดึงน้ำจากโดมาทำให้กลูเตนสูญเสียน้ำ เปลี่ยนสภาพจากเดิมที่เคยยืดหยุ่นกลับแข็งตัวขึ้น ทำให้ได้โครงร่างของเซลล์มีรูพรุน ผนังเซลล์บางเป็นใยเชื่อมติดกัน รูปรีบ้าง กลมบ้าง กระจายอยู่ทั่วไปทั้งก้อนขนมปัง ในขณะเดียวกันเอนไซม์และยีสต์จะค่อยๆ ตายไป เนื่องจากทนความร้อนที่เพิ่มขึ้นไม่ได้

ส่วนผิวนอกของขนมปังจะเปลี่ยนสีเพราะเกิดคาราเมล เนื่องจากความร้อนทำให้น้ำตาลที่ผิวโดเปลี่ยนสภาพเป็นสีน้ำตาล และการเกิดปฏิกิริยาเมลาร์ด จากน้ำตาลและกรดอะมิโน ให้สารสีน้ำตาลเรียกว่ามิลานอยดิน พร้อมเกิดสารให้กลิ่นรส และสุกในที่สุด โดยเกิดการสูญเสียน้ำหนักของก้อนโด 9-10% เนื่อง จากการระเหยของน้ำและสารอื่นๆ

26.12.08

อาหารบำรุงรอบเดือน

อาหารบำรุงรอบเดือน

สาวคนไหนที่มีรอบเดือนมาน้อย วันนี้มีอาหารบำรุงรอบเดือนมาฝากกัน...

ประจำเดือนที่มาตามปกติแสดงถึงความสมบูรณ์ของสตรีวัยเจริญพันธุ์ และเป็นการถ่ายเทเลือดเสียซึ่งเกิดจากการสลายตัวของเยื่อบุมดลูกและสร้างเยื่อบุมดลูกใหม่หมุนเวียน ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายเป็นปกติ

แต่ละเดือนที่ผู้หญิงต้องเสียเลือดเป็นจำนวนมากจากการมีรอบเดือน ร่างกายจะสูญเสียวิตามินและเกลือแร่ อย่างแคลเซียม ธาตุเหล็ก และสังกะสีด้วย ทำให้รู้สึกอ่อนเพลียกว่าปกติ หรือมีอาการปวดศีรษะ นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร อารมณ์เศร้าซึม โดยเฉพาะผู้หญิงที่สุขภาพไม่แข็งแรง ขาดการออกกำลังกาย หากมัวแต่อดอาหาร รักษาหุ่น อาจทำให้ขาดสารอาหารที่จำเป็น และเสี่ยงต่อภาวะโลหิตจาง ร่างกายจะซูบซีด ผิวพรรณไม่มีเลือดฝาด

ในช่วงมีรอบเดือน การรับประทานอาหารที่สมดุลต่อร่างกายจะช่วยป้องกันอาการต่าง ๆ ได้โดยเน้นที่อาหารบำรุงเลือด เช่น เครื่องในสัตว์ ไข่แดง ถั่วเมล็ดแห้ง และ ผักใบสีเขียวจัด เช่น คะน้า กวางตุ้ง สาหร่าย เป็นต้น ซึ่งให้ธาตุเหล็ก วิตามินบี 6, บี 12, บีรวม และกรดโฟลิก ซึ่งมีส่วนสำคัญต่อการสร้างเลือดสูง

สำหรับสตรีที่ประจำเดือนมาน้อยหรือมากผิดปกติ ควรปรึกษาแพทย์ เพราะอาจมี ความผิดปกติ ในร่างกาย เช่น ต่อมไทรอยด์ทำงานไม่สมบูรณ์ หรือมีเนื้อร้ายที่มดลูกก็ได้

รู้อย่างนี้แล้ว ก็อย่าลืมหันมาดูแลรักษาสุขภาพกันด้วย.

25.12.08

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

กินเผ็ด ป้องกันโรค มีประโยชน์สารพัด

พูดถึง พริก ทุกคนจะนึกถึงความเผ็ด หลายคนชอบกินอาหารรสเผ็ด แต่หลายคนไม่ชอบ ผู้อ่านรู้หรือไม่ว่านอกจากความเผ็ดแล้ว พริก มีประโยชน์อย่างไร

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.กฤษดา ศิรามพุช ผอ.ศูนย์เวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ กล่าวว่า พริก มีถิ่นกำเนิดมาจากทวีปอเมริกาใต้ ถูกนำเข้ามาในประเทศไทย โดยชาวโปรตุเกส สมัยกรุงศรีอยุธยาตอนต้น หรือ ในสมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 2

ความเผ็ดของพริกมาจากสารชื่อ “แคป ไซซิน” พริกยังมีสารสำคัญอีกหลายชนิด เช่น วิตามินซี วิตามินเอ ธาตุเหล็ก และแคลเซียม

คนที่กินพริกนาน ๆ จะทำให้ติดเผ็ด จากงานวิจัยที่ผ่านมาพบว่า คนไทยกินพริกมากที่สุดเฉลี่ย 5 กรัมต่อวัน หรือ ประมาณ 1 ช้อนชา

ประโยชน์ของพริกมีหลายอย่าง เช่น ช่วยเพิ่มสารแห่ง ความสุข คือ “เอ็นโดร ฟิน” บรรเทาอาการ เจ็บปวด บรรเทา อาการไข้หวัด ลดน้ำมูก ลดปริมาณ คอเรสเตอรอล จากงานวิจัยของญี่ปุ่นพบว่า พริกช่วยเพิ่มอุณหภูมิในร่างกายและช่วยในการเผาผลาญ มีประโยชน์เรื่องการควบคุมน้ำหนัก ขณะเดียวกันยังช่วยละลายเสมหะที่เหนียวข้นให้จางลง ช่วยให้ขับเสมหะออกมาได้ง่าย สำหรับผู้ป่วยหอบหืด พริกจะช่วยทำให้หลอดลมขยายตัวได้ดี ไม่หดเกร็ง ดังนั้นคนที่เป็นโรคภูมิแพ้ หรือหอบหืดกินพริกจะดี

การกินพริก ยังช่วยลดปริมาณสารที่ทำให้แก่ คือ อินซูลิน มีรายงานว่า 30 นาทีหลังกินพริก อินซูลินจะไม่ขึ้นเลย พออินซูลินไม่ขึ้น ก็จะไม่ทำให้รู้สึกอยากหวาน นอกจากนี้วิตามินซีในพริก ยังช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยง ในการเกิดโรคมะเร็ง จากผลการวิจัยของคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล พบว่า พริกยังช่วยในการสลายลิ่มเลือดด้วย

นอกจากการบริโภคแล้ว พริกยังถูกนำมาทำเป็นเจล ใช้ทารักษาผิวหนังอักเสบ แก้ปวดข้อ ปวดเมื่อยตามตัว เข่าอักเสบ เริม หรืองูสวัด

ส่วนที่หลายคนมีความเชื่อว่าการกินพริกมาก ๆ หรือ รับประทานอาหารรสเผ็ดจัด จะทำให้เป็นโรคกระเพาะอาหารนั้น นพ.กฤษดา บอกว่า สารในพริกมีฤทธิ์เป็นกรดก็จริง แต่พริก ไม่ได้ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร ปัจจัยที่ทำให้เกิดโรคกระเพาะอาหาร น่าจะมาจากการกินอาหารมัน ๆ มากกว่า เช่น ข้าวขาหมู กว่าจะย่อยต้องใช้เวลา 2-3 ชม. ทำให้เกิดกรดในกระเพาะอาหาร

แต่การกินอาหารเผ็ดจัด อาจทำให้เกิดอาการ เหมือนคนเป็นโรคกระเพาะอาหาร เพราะสารในพริกซึ่งเป็นกรด จะไปทำให้หลอดอาหารหดเกร็ง ทำให้รู้สึกจุกแน่นลิ้นปี่

กรณีที่กินอาหารเผ็ดมาก ๆ วิธีแก้ คือ ต้องกินอาหารที่มัน ๆ เพราะ “สารแคปไซซิน” จะละลายได้ดีในไขมัน แต่ละลายในน้ำได้เพียงเล็กน้อย การดื่มน้ำเย็นจะไม่ช่วยทำให้หายเผ็ด ถ้าจะแก้เผ็ดต้องดื่มนม หรือ ไอศกรีม ทั้งนี้ ถือเป็นภูมิปัญญาของคนไทยที่ใช้ความมันจากกะทิมาดับเผ็ด เห็นได้จากการทำแกงเขียวหวาน หรือแกงต่าง ๆ ที่ใส่กะทิ

ข้อควรระวัง คือ ในคนที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอยู่แล้ว ควรหลีกเลี่ยง เพราะอาหารรสเผ็ดจัด จะยิ่งทำให้กรดไปกัดแผลในกระเพาะอาหาร ส่วนเด็กและคนแก่ ที่สำลักง่าย ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะถ้าสำลักเข้าหลอดลม กรดอาจจะไปกัดหลอดลม ทำให้เกิดปัญหาหลอดลมหดเกร็ง ตีบ บวม หายใจไม่ออกได้

สรุปว่า การกินอาหารเผ็ด ๆ มีแต่ข้อดี แทบจะไม่มีข้อเสีย แต่ก็ควรระวังพริกป่น พริกซอง ที่อาจมีสารอะฟลาทอกซิน เสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งตับ.

24.12.08

ชีวจิตพิชิตเบาหวาน

ชีวจิตพิชิตเบาหวาน

ทุกวันนี้ อาหารการกินของคนไทยนั้นเปลี่ยนไปมากจริงๆ เห็นได้จากอาหารที่มีหลากหลาย และสีสันก็แปลกตามากขึ้นทุกที แม้กระทั่งอาหารเจก็มีคนประดิษฐ์คิดค้นให้มี หน้าตาและสีสันชวนทาน ส่วนรสชาติก็คงไม่ต้องพูดถึง นะครับเพราะเขาทำได้ใกล้เคียงอาหารที่เราหาทานได้ทั่วไป

แต่อย่าลืมนะครับว่า ที่มีให้เห็นหลากหลายนั้นต้องแลกมาด้วยการได้รับคาร์โบไฮเดรต และไขมันที่สูงเช่นกัน คนที่หม่ำอาหารเหล่านี้เข้าไป จึงมีสิทธิ์ได้โรคอ้วนหรือ อ้วนลงพุงเป็นของแถม หรือถ้าโชคร้ายกว่านั้นโรคเบาหวาน ก็เป็นอีกโรคหนึ่งที่อาจมาอยู่กับเราโดยไม่ทันตั้งตัว

คนที่ทานอาหารชีวจิตก็เช่นกัน แม้จะเน้นทานอาหารที่ไม่มีเนื้อสัตว์ และหันมาทานปลาแทนในบางครั้ง แต่การทานอาหารจำพวกแป้ง เช่น ข้าว เส้นก๋วยเตี๋ยว ซึ่งอุดมไปด้วยคาร์โบไฮเดรต เมื่อทานเข้าไปมากๆ ก็เสี่ยงต่อโรคเบาหวานได้เช่นกัน

ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวาน หรือคนที่ยังไม่เป็นก็ไม่ควรชะล่าใจ เพราะเจ้าเบาหวานไม่ได้เกิดจากโรคอ้วนเพียงอย่างเดียว แต่ยังรวมถึงกรรมพันธุ์ และปัจจัยอื่นๆ คนที่ทานอาหารชีวจิตโดยเฉพาะคนที่เป็นเบาหวาน จึงต้องอ่าน เพราะการควบคุมระดับน้ำตาลเป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้กายและใจของเราเป็นปกติ

ก่อนจะทานอะไรจึงควรเลือกให้ดี โดยเฉพาะ ต้องเลือกชนิดของอาหารที่จะช่วยควบคุมระดับน้ำตาล ไขมันและความดันโลหิต โดยเฉพาะการควบคุมปริมาณคาร์โบไฮเดรตหรืออาหารหมวดแป้ง เป็นสิ่งสำคัญอันดับต้นๆ ของคนที่เป็นเบาหวาน

ผมจึงอยากแนะนำให้คนที่เป็นโรคนี้ เลือกทานข้าวซ้อมมือแทนข้าวขัดขาว และเลือกทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น พืชผัก ธัญพืช และผลไม้บางชนิดเช่น แตงโม มะละกอ ชมพู่ สาลี่ แอปเปิล เป็นต้น ทั้งนี้ควรทานให้พอเหมาะเพราะ ผลไม้ส่วนใหญ่มักมีน้ำตาลตามธรรมชาติที่แตกต่างกันไป ที่สำคัญไม่ควรทานผลไม้รสหวาน เช่น ส้มเขียวหวาน ทุเรียน มะม่วงสุก สับปะรด ขนุน ละมุด ผักบางประเภทเช่น ยอด กระถิน ยอดชะอม หน่อไม้ ก็ไม่ควรทานเช่นกัน

นอกจากนี้ ตามหลักของแพทย์แผนไทยผักที่มีรสขมทุกชนิด จะช่วยแก้ไขเรื่องโรคเบาหวาน เพราะช่วยให้ร่างกายสามารถใช้ประโยชน์จากน้ำตาลได้ เช่น มะระขี้นก มะระจีน สะเดา ซึ่งสามารถช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดได้ หรือถ้าไม่อยากทานขมๆ ก็อาจเลือกผักตำลึง นำมาทำแกงจืด หรือลวกหรือนึ่งจิ้มน้ำพริกก็เข้าท่าไม่เบา

คนที่เป็นเบาหวาน ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูงและโคเลสเตอรอลสูง ควรทานปลา โดยเฉพาะปลาน้ำจืดไม่ว่าจะเป็น ปลาสวาย ปลาช่อน ปลานิล ฯลฯ นอกจากจะให้โปรตีน แล้วยังช่วยให้ย่อยง่าย และปลายังเป็นแหล่งของโอเมกา-3 ที่จะช่วยลดการอักเสบภายในร่างกาย ช่วยลดการเกิดโรคหัวใจ ไขมันในหลอดเลือด ลดการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติ ป้องกันอัลไซเมอร์ ทั้งยังเสริมสร้างพัฒนาเซลล์สมอง การมองเห็นแก่เด็กที่สามารถได้รับตั้งแต่อยู่ในครรภ์ และอีกสารพัด

ควรทานผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองให้บ่อยขึ้น จำกัดการทานกะทิและเลี่ยงอาหารทอด รวมทั้งหลีกเลี่ยงอาหาร รสเค็มจัด เนื่องจากมีส่วนประกอบของโซเดียมสูง ทำให้ความดันโลหิตสูง มีผลทำให้ไตเสื่อมเร็วขึ้น ส่วนอาหารที่มีโซเดียมสูงก็ต้องระวังไม่ว่าจะเป็นซอสปรุงรสต่างๆ ผงชูรส อาหารกระป๋อง อาหารหมักดอง อาหารสำเร็จรูป เป็นต้น

ที่ลืมไม่ได้นอกจากอาหารการกินที่มีประโยชน์ โดยทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่แล้ว ยังต้องทานอาหารมื้อหลัก 3 มื้อให้เป็นเวลาสม่ำเสมอทุกวัน ห้ามงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่ง เพราะเมื่อหิวจัดจะทำให้ทานเกินอัตราในมื้อถัดไป ระดับน้ำตาลในเลือดจึงยิ่งพุ่งและควบคุมยาก อย่ากินเพลินเพราะความอร่อย เมื่อเริ่มรู้สึกอิ่มควรหยุดทันที

นอกจากนี้ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ฝึกนั่งสมาธิ เพื่อให้รู้จักปล่อยวางความทุกข์ คิดว่าโรคนี้ไม่ใช่ปัญหา เราจึงต้องอยู่กับมันอย่างมีความสุข หันมาสร้างกำลังใจ และมองไปรอบๆ ตัวโดยเฉพาะคนที่เรารักและคนที่รักเรา แล้วเราจะมีกำลังใจต่อสู้กับโรคนี้ได้อย่างเข้มแข็ง (หน้าพิเศษ Hospital Healthcare)

23.12.08

14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง มะเร็ง

14 สไตล์มรณะ ปัจจัยเสี่ยง มะเร็ง

เซลล์มะเร็งเป็นคล้ายสัตว์กินเนื้อที่ดำรงชีพอยู่ได้ด้วยการแตกรากออกไปดูดกินสาร อาหารจากในร่างกายจนทำให้ผ่ายผอมและกลายเป็นรังมะเร็งในที่สุด แต่ถ้าท่านยังไม่อยากสร้างสิ่งมหัศจรรย์ในกายประเภทสวนลอยแห่งมะเร็งไว้แข่งกับ บาบิโลน ก็ขอให้เลี่ยงวิถีที่จะเปลี่ยนกายให้เป็นแม่เหล็กดูด มะเร็งชั้นดี ขอให้เลี่ยงพฤติกรรมที่มะเร็งโปรดทั้งหลายต่อไปนี้

1) นอนดึก ทำให้ไม่มีฮอร์โมนต้านมะเร็งหลั่งออกมา นอกจากนั้นยังจะทำให้เกิดโรคร้ายอื่นได้ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันสูง และโรคอ้วน ด้วยว่าเมื่อนอนดึกแล้วมักจะหิวและต้องหาของขบเคี้ยว มากินแก้ปากว่างกัน

2) คึกสูบบุหรี่และขี้เหล้า ทั้งสองสิ่งนี้ทำให้ปอดและตับทำงานหนัก แม้จะสูบซิการ์ซึ่งมีนิโคตินต่ำกว่าบุหรี่ก็ตามที หรือดื่มเหล้าแบบกลั่นอย่างดีของฝรั่ง แต่ตัวมันเองก็สร้าง "สนิมมะเร็ง" ออกมาไม่น้อย ทำให้คนที่เสพทั้งแก่เร็วและตายไวได้จากโรคมะเร็งครับ

3) เอาแต่ไขมันเข้าปากและอยากแต่เนื้อแดง ไขมันอิ่มตัวและ โปรตีนจากเนื้อนั้นเป็นแหล่งอาหารชั้ นหนึ่งของมะเร็งที่จะ ใช้เจริญเติบโตได้ไม่แพ้ทารกเกิดใหม่ มันจะสร้างหลอดเลือดยื่นไปดูดกินเลือดเนื้อของเราจนแ ทบไม่เหลือเลือดอัน สมบูรณ์ไปเลี้ยงอวัยวะอื่น ตัวเราจึงผอมเอาๆ ตรงข้ามกับมะเร็งกาฝากที่โตไวไม่มีลิมิตชีวิตหดหู่แน่

4) แฝงด้วยเครียดจัด จนมีสารทุกข์หลั่งออกมาหล่อเลี้ยงมะเร็งให้โตขึ้นเร็วราวกับน้ำมันราดบนกองไฟให้
คุโชนขึ้น

5) ไวรัสตับอักเสบบีและมีภูมิแพ้ที่รักษาไม่หาย ดังที่กล่าวไปว่าถ้า ภูมิดีก็มีพลังต้านมะเร็งได้ตั้ง แต่ในเซลล์แรกที่อุตริ เกิดขึ้นมา ด้วยตามปกติในกายเราก็มีเซลล์แบบมะเร็งนี้เกิดขึ้นมา อยู่เรื่อยๆ ทุกวัน

6) ปล่อยกายให้อ้วน สร้างให้เกิดธาตุแก่ออกมาแช่อิ่มอวัยวะภายในร่างกาย และไขมันตามตัวยังสร้างให้เกิดฮอร์โมนกระตุ้นให้มะเร ็งแบ่งตัวดีขึ้นด้วย

7) ล้วนขาดวิตามิน ด้วยวิตามินทำหน้าที่ต้านเชื้อมะเร็งให้ดับเป็นจุณไป ก่อนที่จะเผยอหน้าขึ้นมาแบ่งตัวปนเปไปในร่างกายเรา

8) กินของร้อนจัดไป เช่น ซดชาร้อนหรือกาแฟร้อนจัดประเภทควันฉุย จะไปลวกให้เซลล์หลอดอาหารอักเสบอยู่ทุกบ่อย เมื่ออักเสบเป็นอาจิณก็จะมีโอกาสเปลี่ยนไปเป็นเซลล์มะเร็งง่ายขึ้น

9) ทำให้คอเลสเตอรอลลดต่ำ พบว่าถ้าต่ำเกินไปก็ไม่ดีครับ มีผลกับภูมิคุ้มกันที่แย่ลง เมื่อภูมิต่ำแล้วก็จะหมดปัญญาต้านเซลล์มะเร็งที่จะเข้ามาหา

10) ทำกลั้นปัสสาวะ น้ำปัสสาวะเป็นของเสียยิ่งอยู่นิ่งเป็นเวลานาน จากการ อั้นมันก็ไม่ต่างอะไร กับน้ำนิ่งในคลองแสนแสบ ซึ่งทิ้งไว้ไม่นานจะกลายเป็นน้ำเน่า แต่ถ้าเน่าในกระเพาะฉี่เราก็มีผลให้เกิดเซลล์มะเร็ง
งอกขึ้นมาได้

11) ปะทะเค็มจัด พบว่าสิ่งมีชีวิตที่ทานอาหารเค็มมีอัตราการเกิดมะ เร็ งสูงกว่า โดยเฉพาะในอาหารจำพวกเนื้อเค็ม เนื้อแห้ง หมูแดง ที่นอกจากเค็มแล้วยังมีสีแดงดีจากดินประสิวอีกด้วย

12) ประวัติมะเร็งในครอบครัว มะเร็งร้ายในครอบครัวบางอย่างสามารถถ่ายทอดมาทางพันธ ุกรรมได้ แม้จะไม่ใช่อสังหาริมทรัพย์แต่ต้องรับไว้ด้วยความไม่ เต็มใจ เช่น มะเร็งเต้านม, มะเร็งลำไส้ใหญ่ แต่ถ้าป้องกันไว้ดีๆ แล้วบางทีก็ไม่เกิดขึ้นมาครับ

13) ตัวตากแดดบ่อย แสงแดดเป็นรังสีที่กระตุ้นอณูเซลล์ของคุณให้ สะดุ้งตก ใจจนเครื่องในรวนหมด ครับ เมื่อเครื่องในรวนแล้วก็ไม่สามารถที่จะคุมการแบ่งตัว ได้ ทำให้แบ่งต่อไปอย่างไม่หยุดยั้งกลายเป็นก้อนใหญ่ขึ้น เรื่อยๆ

14) ไม่ค่อยช่วยใคร ถ้าพูดให้ง่ายเข้าคือ เห็นแก่ตัวและไม่ค่อยได้ทำบุญนั่นเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ได้หมั่นช่วยเหลือผู้อื่นจนชินแ ล้วเรามักไม่ค่อยได้นึก ถึงตัวเองนัก และเมื่อไม่หมกมุ่นกับตัวเองแล้วก็ไม่ค่อยเกิดความ "อยาก" อันนำไปสู่ความเครียดร้อนอกร้อนใจ หรือถ้าไม่มีเวลาก็แค่อนุโมทนากับบุญที่เราได้พานพบก็ทำให้มี "สารสุข" หลั่งออกมาเสริมภูมิรู้สู้มะเร็งแล้วครับ

ด้วยวิถีแห่งการมี "ไลฟสไตล์มรณะ" ทั้ง 14 ประการดังที่ได้กล่าวไปก็จะทำให้ได้มะเร็งมาเป็นเจ้า ของอย่างง่ายดาย

ขอบคุณข้อมูลดี ๆ จาก....นพ.กฤษดา ศิรามพุช, พบ.(จุฬาฯ)
ผู้อำนวยการสถาบันเวชศาสตร์อายุรวัฒน์นานาชาติ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านเวชศาสตร์อายุรวัฒน์(American Board of Anti-aging medicine)

22.12.08

Endometriosis รักษาง่ายดีกว่าทนเจ็บนาน

Endometriosis รักษาง่ายดีกว่าทนเจ็บนาน

ถ้า คุณต้องหน้านิ่วคิ้วขมวด หรือทนเจ็บปวดกับก่อนและหลังมีประจำเดือนเสมอ คุณมีโอกาสสูง ที่จะเป็น 9 ใน 10 ของโรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่ และมันไม่ดีเลยที่จะทนไปตลอดชีวิต ในเมื่อมีทางรักษาที่สะดวกง่ายดายมาอ่าน ทำความรู้จักและรักษา เอนโดเมทริโอสิส (โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่) กันตอนนี้เลยค่ะ

+ เอนโดเมทริโอสิส (โรคเยื่อบุมดลูกเจริญผิดที่) คืออะไรผลรายงานพบว่า 87% ในหญิงที่ยังไม่มีบุตรและมีอายุระหว่าง 25-44 ปี ที่มีปัญหาอาการปวดเรื้อรังใน อุ้งเชิงกรานนั้นเกิดจากเอนโดเมทริโอสิส ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดถึงสาเหตุแน่นอน แต่วินิจฉัยได้ว่า เอนโดเมทริโอสิสเกิดจากการเจริญนอกมดลูกของเนื้อเยื่อบุในโพรงมดลูก ส่วนใหญ่จะงอกที่รังไข่, ท่อนำไข่ รวมทั้งเอ็นต่างๆ ที่ยึดมดลูก และยังอาจเกิดในเยื่อบุช่องท้องหรือที่ส่วนนอกของกระเพาะปัสสาวะ บางตำแหน่งอาจจะพบฝังตัวเข้าไปในผนังลำไส้, ทวารหนัก หรือกระเพาะปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการปวดท้องหรืออาการปวดเรื้อรังในอุ้งเชิงกรานที่สร้างความทุกข์ ทรมานทั้งทางร่างกายและจิตใจ

+ คุณเป็นโรคเอนโดเมทริโอสิสหรือเปล่า ถ้ามีสองอาการร่วมด้วยละก็ รีบตรวจและรักษาด่วน
• มีอาการปวดก่อนและระหว่างมีประจำเดือน
• มีอาการปวดระหว่างหรือหลังการมีเพศสัมพันธ์
• มีเลือดออกทางช่องคลอดผิดปกตินอกเหนือจากการมีประจำเดือนที่ไม่สม่ำเสมอ
และออกเป็นระยะเวลานานกว่าปกติ
• มีบุตรยาก
• มีความเจ็บปวดขณะถ่ายอุจจาระ นอกจากนี้อาจจะมีการถ่ายท้องหรือท้องผูกร่วมด้วยก็ได้

+ เอนโดเมทริโอสิส รักษาง่าย และคุ้มค่ากว่าทนเจ็บปัจจุบันการรักษาโรคนี้ได้ก้าวหน้าไปมาก คุณสามารถเลือกได้ตามความสะดวกภายใต้คำแนะนำของแพทย์

ผ่าตัดเอนโดเมทริโอสิสออกให้หมด
ในการผ่าตัดแพทย์จะทำการส่องกล้องเข้าไป ดูในช่องท้อง ระหว่างการส่องกล้อง แพทย์จะสอดท่อใยแก้วที่ให้แสงซึ่งจะทำให้สามารถมองเห็นอวัยวะในช่องท้อง ทำให้แพทย์สามารถเห็นขนาดของก้อนเอนโดเมทริโอสิส จากนั้นจึงพยายามที่จะเอาก้อนนั้นออกให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่อย่างไรก็ตามเอนโดเมทริโอสิสที่บางตำแหน่งจะไม่สามารถเอาออกได้ เช่น ใต้มดลูก, ผนังลำไส้ จึงต้องใช้วิธีผสมผสานระหว่างศัลยกรรมและการให้ยาด้วยวิธีที่สอง

ฉีดยาเพื่อลดขนาดของเอนโดเมทริโอสิส
ใน กรณีที่แพทย์ทำการจี้ เอนโดเมทริโอสิสออก ในผู้ป่วยหลายกรณีต้องให้การรักษารอยโรคที่อาจยังเหลืออยู่ด้วย Hormone กลุ่มจีเอ็นอาร์เอชอนาล็อก (GnRHa) ซึ่งมีประสิทธิภาพชั่วคราวในการหยุดยั้งประจำเดือน และหยุดยั้งการสร้างเอสโตรเจนซึ่งเป็นฮอร์โมนเพศหญิงที่กระตุ้นการเจริญเติบ โตของก้อนเอนโดเมทริโอสิสเพื่อลดก้อนเอนโดเมทริโอสิสให้เล็กลง บรรเทาและกำจัดอาการปวดต่างๆ GnRHa เป็นยาแบบฉีดเข้ากล้ามเนื้อ มี 2 ขนาด คือฉีดเดือนละครั้งและฉีด 3 เดือนครั้ง ซึ่งจะช่วยลดขนาดของก้อนเอนโดเมทริโอสิ? และยังเป็นการลดอาการเจ็บปวดด้วย ในปัจจุบันมีผลงานวิจัยจำนวนมากขึ้นที่แนะนำให้ใช้ GnRHa รักษาผู้ป่วย โดยการสังเกตจากประวัติอาการและการตรวจทางห้องปฏิบัติการโดยไม่ต้องทำการผ่า ตัด หากใช้ยา GnRHa แล้วอาการดีขึ้น แพทย์จะให้ยาต่อเนื่องเป็นเวลา 6 เดือน โรคร้ายจะถูกกำจัดไปโดยสิ้นเชิง และไร้ผลข้างเคียงที่เป็นอันตราย

ขึ้นชื่อว่าความเจ็บปวด ย่อมคุกคามทั้งสุขภาพกาย สุขภาพจิตของเราเสมอ หากสิ่งนั้นหลีกเลี่ยงยากก็ต้องทนรับสภาพ แต่ถ้ามีทางเลือกที่จะปลดเปลื้องให้หายแบบเฉียบพลัน ไร้ผลข้างเคียง ก็นับว่าน่าเยียวยารักษา เรามาเป็นหนึ่งในสิบของสาวสุขภาพดี ไม่มีโรคเอนโดเมทริโอสิส กันวันนี้เถอะค่ะ

21.12.08

กินจุบจิบระหว่างมื้ออย่างมีประโยชน์

กินจุบจิบระหว่างมื้ออย่างมีประโยชน์

คุณเคยสังเกตตัวเองหรือคนใกล้ตัวบ้างหรือไม่ว่า สมัยเรียนมหาวิทยาลัยเคยผอมเพรียวจนหนุ่มๆ เหลียวหลัง แต่พอก้าวสู่วัยทำงาน ก็เริ่มอวบอั๋นขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุงาน

จากการสำรวจพฤติกรรมผู้บริโภคไทยที่ “โวโน” ซุปครีมกึ่งสำเร็จรูปจัดทำเมื่อต้นปี 2551 พบว่าสาวส่วนใหญ่โทษว่าอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ความสามารถในการเผาผลาญพลังงานลดลง บางคนบอกว่างานยุ่งมากจนไม่มีเวลาออกกำลังกาย ทั้งหมดนี้มีความจริงเพียงบางส่วนเท่านั้น สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้สาวทั้งหลายน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นเป็นเพราะพฤติกรรมการกินของพวกคุณเธอต่างหาก อาจารย์กฤษฎี โพธิทัต ที่ปรึกษาด้านโภชนาการและนักกำหนดอาหารชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ระบุว่า

สาวจำนวนมากไม่ยอมกินอาหารเช้า จึงไปหิวตาลายเอาเมื่อสาย และมักจะคว้าขนมหรือของขบเคี้ยวกรุบกรอบทั้งหลายมาใส่ปาก พอตกบ่ายก็เริ่มง่วงและหิวอีกรอบ ก็ต้องพึ่งขนมช่วยให้ตาสว่างกันอีกยก ยิ่งอยู่ด้วยกันหลายคนก็ยิ่งสนุก ยิ่งอร่อย กว่าจะรู้ตัวอีกทีถุงขนมก็กองเต็มโต๊ะ และส่วนเกินก็มากองอยู่ตามพุงเสียแล้วอันที่จริงอาหารว่างหรือของขบเคี้ยวระหว่างมื้อเป็นเรื่องดีต่อสุขภาพ ถ้าคุณรู้จักเลือกรับประทานของที่มีประโยชน์และมีคุณค่าทางสารอาหาร อาจารย์กฤษฎีแนะนำว่า

“คนไทยส่วนใหญ่ยังเข้าใจผิดว่าการรับประทานอาหารระหว่างมื้อมีแต่โทษ และทำให้อ้วน แต่ที่จริงแล้วอาจเป็นตรงกันข้ามได้ “

คนที่กินอาหารวันละหลายมื้อมีโอกาสอ้วนน้อยกว่าคนที่กินน้อยมื้อกว่าครึ่ง หลายคนอาจจะคิดว่าไม่น่าเป็นไปได้ แต่การวิจัยพบว่าผู้ที่รับประทานอาหารวันละ 4 มื้อเล็ก ๆ ขึ้นไป คือ อาหาร 3 มื้อ และอาหารว่าง 1 มื้อ มีโอกาสลดความอ้วนได้ถึง 45 เปอร์เซ็นต์ ทั้งนี้เพราะการรับประทานอาหารระหว่างมื้อที่มีคุณภาพ จะช่วยทำให้เราไม่หิวมากเกินไป จึงสามารถควบคุมปริมาณการรับประทานอาหารในมื้อถัดไปได้ดีขึ้น อีกทั้งช่วยให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า พร้อมเริ่มต้นใหม่ได้อย่างสดใส”

อาจารย์กฤษฎีอธิบายว่า คนเราจะรู้สึกหิว ก็เมื่อระดับน้ำตาลในเลือดลดต่ำลงถึงระดับหนึ่ง สมองจึงจะสั่งการว่า “หิว” และโดยธรรมชาติ เราก็จะคว้าของกินใส่ปากเมื่อหิว และหยุดกินเมื่อรู้สึกว่าอิ่มแต่ระบบการทำงานของร่างกายนั้น สมองจะรับรู้ได้ช้ากว่าที่เป็นจริง เช่น ระดับน้ำตาลในเลือดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้น

แต่สมองต้องใช้เวลาประมาณ 15 นาทีจึงจะรับรู้ได้ว่า ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมาแล้ว ควรจะสั่งให้ร่างกายรู้สึก “อิ่ม” ได้แล้ว ดังนั้น เมื่อสมองบอกว่า “อิ่ม” และเรารู้สึก “อิ่ม” จึงเป็นเวลาที่ร่างกายของเราได้รับอาหารเกินความต้องการไปแล้วการจะป้องกันไม่ให้เรารับประทานอาหารเกินความจำเป็นหรือเกินกว่าที่ร่างกายต้องการ คือ การเคี้ยวให้ละเอียด เคี้ยวนานๆ

มีนักวิชาการหลายคนแนะนำว่าให้เคี้ยวคำละอย่างน้อย 15 ครั้งก่อนที่จะกลืน หรือพวกชีวจิตแนะนำว่าถ้าเคี้ยวได้ถึง 30 ครั้งจะเยี่ยมมาก เพราะทำให้เราใช้เวลานานขึ้นในการรับประทานอาหารแต่ละคำ และในแต่ละมื้อก็จะทำให้เรารับประทานอาหารได้น้อยลง แต่อิ่มทนดังนั้น

การเลือกอาหารที่ต้องเคี้ยวเป็นของว่างระหว่างมื้อ จึงเป็นการเลือกรับประทานอย่างชาญฉลาด ไม่ว่าจะเป็นพวกผลไม้ ซึ่งมีแป้งและไขมันต่ำอยู่แล้วแต่มีไฟเบอร์สูง หรือถ้าไม่ถูกรสนิยม จะเลือกขนมขบเคี้ยว หรือซุปสักหนึ่งถ้วย เพิ่มขนมปังกรอบพอให้เคี้ยวมันฟันเล่นก็ดีพอกัน เพียงแต่ต้องปรับพฤติกรรมการเคี้ยวให้ละเอียดขึ้น เคี้ยวช้าๆ ให้นานขึ้น ก็จะช่วยได้ที่สำคัญคือ อย่ารับประทานจนอิ่ม แค่รู้สึกว่าไม่หิวแล้ว ก็ให้หยุด หรือชะลอสปีดในการรับประทานลง แต่นี้ ก็ได้อาหารเพียงพอ และได้ความสุขจากการเคี้ยวไปด้วยในตัวอีกพฤติกรรมหนึ่งที่คุณสาวๆ ต้องระวัง

ถ้ายังรักจะกินจุบจิบ แต่ไม่อยากให้ห่วงยางรอบพุงล้ำออกมาเกินหน้าเกินตา คือ การทำกิจกรรมอื่นๆ ไปพร้อมกับการทานอาหารว่าง เช่น กินไป คุยไป กินไปทำงานไป ก็อาจทำให้ลืมตัว เผลอกินมากเกินไปได้ แต่สำหรับสาวบางคนที่ห่วงคุยมากกว่าห่วงกิน คือคุยเพลินจนลืมกิน อันนี้ก็ไม่ว่ากัน เพราะสาวประเภทนี้ คงไม่มีปัญหาเรื่องกินกินขนาดปัญหานี้ก็แก้ได้ไม่ยาก โดยการจำกัดปริมาณอาหารว่างที่จะรับประทานตั้งแต่ต้น เช่น ขนมแห้งๆ เทใส่ถ้วยเล็กๆ พอรับประทานหมดก็หยุด และอย่าใจอ่อนคิดว่า อีกหน่อยน่า แหม ยังไม่ทันสะใจ ขออีกสัก 2 คำเถอะ ต้องมีวินัยกันหน่อย

หรืออาจจะลองเปลี่ยนมาเลือกของว่างที่เป็นซุป เช่น ซุปครีมพร้อมขนมปังกรอบ 1 ถ้วย เป็นทางเลือกใหม่ที่น่าสนใจเพราะสามารถเตรียมได้ง่าย แล้วซุปกึ่งสำเร็จรูปสมัยนี้มีให้เลือกหลายรสชาติตามที่ชอบได้ ส่วนใหญ่ก็แพ็คมาในขนาดกำลังกินพออิ่มได้ 1 คน รับประทานหมดซองก็อิ่มกำลังดีไม่เกินท้อง

นอกจากจะได้สารอาหารและรสชาติแล้ว ยังมีน้ำที่ให้ความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แล้วขนมปังกรอบก็จะทำให้ได้เคี้ยว ได้รับความพึงพอใจจาการเคี้ยวด้วย และแน่นอน ถ้าเคี้ยวช้าๆ ก็จะช่วยควบคุมปริมาณการรับประทานได้ดีขึ้นด้วยหลายคนอาจจะรู้สึกว่า ซุป ฟังดูไม่เหมือนเป็นอาหารระหว่างมื้อสักเท่าไร ดูจะจริงจังมากไปนิด แต่ถ้าคิดว่า คุณสาวๆ หลายคนไม่ได้รับประทานอาหารเช้า ถ้าเราให้ความสำคัญเพิ่มเติมกับอาหารระหว่างมื้อ โดยเฉพาะในช่วงเช้า ก็คงจะช่วยทดแทนได้ไม่มากก็น้อย อย่างน้อยที่สุด การรับประทานซุปสักถ้วยตอน 10 โมงที่ใครๆ เลือกดื่มกาแฟกัน ก็จะทำให้ท้องไม่ว่างนานเกินไป อิ่มด้วย ได้รับสารอาหารด้วยท้ายที่สุดแล้ว

พฤติกรรมการรับประทานของคุณต่างหากที่เป็นปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อสุขภาพ คุณไม่จำเป็นต้องเปลี่ยน แต่แค่ปรับพฤติกรรมการรับประทาน และเลือกสิ่งที่รับประทาน ที่ยังคงทำให้คุณพอใจ เหมาะกับวิถีการใช้ชีวิต ไลฟ์สไตล์ของคุณเอง แค่นี้ ถึงชอบกินจุบจิบก็ไม่เป็นปัญหาอีกต่อไป เพียงรู้จักเลือก คุณก็สามารถรักษาหุ่นสวยแบบสมัยเป็นนักศึกษาวัยทีนไว้ได้ แม้ว่างานจะยุ่งสักแค่ไหนหรือกาลเวลาจะผ่านไปกี่ปีก็ตาม


อาหารระหว่างมื้อที่ดีซึ่งที่ปรึกษาด้านโภชนาการแนะนำ ได้แก่

ผลไม้ที่แป้งน้อย อย่างเช่น สับปะรด ชมพู่ ฝรั่ง
แซนวิชที่ทำจากขนมปังโฮลวีท
นมหรือนมถั่วเหลืองยูเอชที
โยเกิร์ตรสธรรมชาติ โดยคุณสามารถทานร่วมกับผลไม้ หรือโรยซีเรียลลงไปด้วยก็ได้
ถั่วเปลือกแข็ง เช่น ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ อัลมอนด์ เป็นต้น
ถั่วเมล็ดแห้งต้ม เช่น ถั่วเขียว ถั่วแดง
ซุปครีมในปริมาณที่อิ่มกำลังเหมาะ ที่มีขนมปังกรอบ เพื่อให้ได้รสชาติของการเคี้ยว
ผักสด/ต้มสุก จิ้มกับน้ำสลัดหรือเครื่องจิ้มอื่นๆ


20.12.08

โยคะ...ทำเองก็ได้ง่ายจัง

โยคะ...ทำเองก็ได้ง่ายจัง

ใครๆ ก็รู้ว่าการเล่นโยคะนั้นมีประโยชน์มากมาย ได้ทั้งร่างกายและจิตใจ โยคะไม่ใช่แค่เรื่องของการออกกำลังกายเพียงอย่างเดียว

นอกจากคุณูปการรอบด้านแล้ว ยังเล่นได้ทุกเพศ ทุกวัย ทุกรูปร่าง แถมโยคะยังมีหลายแบบให้เลือกที่เหมาะกับเรามากที่สุด เรียกว่าแทบไม่มีข้อยกเว้นใดๆ เลย แถมยังช่วยเรื่องการบำบัดโรคบางชนิดได้อีกด้วย

รู้อย่างนี้แล้วพยายามมองข้ามความขี้เกียจ ฝึกใจให้มีวินัยแล้วไปเข้าคอร์สโยคะดูบ้าง เป็นการให้รางวัลแก่ตัวเองได้ดีที่สุด เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมานิตยสารโยคะเจอร์นัล จัดงานโยคะ คอนเฟอร์เรนซ์ มีเวิร์กช็อปโยคะจากครูโยคะน่าสนใจมากมาย ทั้งภาคทฤษฎีและปฏิบัติ แต่หัวข้อน่าสนใจที่นำมาฝากน่าจะเริ่มฝึกกันได้ทุกคน เป็นโยคะง่ายๆ ทำได้ทั้งที่บ้าน และที่ทำงาน

เริ่มฝึกกับครู ปัจจุบันนี้สตูดิโอสอนโยคะมีให้เลือกหลากหลายขึ้นมาก ข้อแนะนำจาก

ครูหนู-ชมชื่น สิทธิเวช ที่สอนโยคะมากว่า 20 ปี สำหรับผู้เริ่มเล่นควรเรียนกับครูก่อน เพื่อให้รู้แนวทางความถูกต้องปลอดภัยในท่าต่างๆ หลังจากนั้นสามารถฝึกฝนตัวเองอยู่ที่บ้าน โยคะเป็นศาสตร์ที่ต้องอาศัยความฝึกฝนต่อเนื่อง หากมีวินัยเล่นอย่างสม่ำเสมอ อยู่ที่ไหนก็เล่นได้ไม่ว่าจะที่บ้าน ที่ทำงาน ในรถส่วนตัว หรือบนเครื่องบินก็ยังได้ ครูหนู กล่าวว่า หัวใจหลักในการฝึกที่บ้านนั้น เราควรทิ้งความคาดหวังในตัวเองออกไป ฝึกฝนอย่างตั้งใจและอยู่บนความจริงตามข้อจำกัดของตัวเอง ยิ่งอายุน้อย ไม่มีปัญหาน้ำหนัก ก็สามารถเล่นท่าหนักๆ แรงๆ ลุยได้เต็มที่ แต่ถ้าเริ่มสูงวัย น้ำหนักเยอะ ก็ต้องเล่นแบบไม่รุนแรง เล่นให้เหมาะสมกับอายุและวัย เล่นแบบมีเมตตาแก่ตัวเอง อย่าทำร้ายตัวเองมากเกินไป ฝึกเท่าที่ร่างกายจะรับไหว

“ไม่จำเป็นต้องตั้งกฎเกณฑ์เข้มงวดว่าต้องฝึกเป็นเวลาเท่านั้นเท่านี้ถึงจะเหมาะสม หรือต้องมีบรรยากาศเข้มขลังเหมือนเรียนในสตูดิโอ ไม่จำเป็นต้องฝึกในที่เงียบสงบเท่านั้น เพราะเราต่างมีข้อจำกัด ที่สำคัญที่ว่าคุณอยากทำมากกว่าฝืนทำ และรู้สึกว่าโยคะนั้นช่วยหล่อเลี้ยงบำรุงร่างกายและจิตใจของคุณเอง”

ง่ายๆ เอาไว้ก่อน

เมื่อพร้อมแล้วที่จะฝึกโยคะที่บ้าน จะรู้ได้ทันทีว่าร่างกายต้องการฝึกแบบใด ลองศึกษาประเภทของท่าที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเรียงลำดับท่าต่อเนื่อง อย่างท่ายืน ท่าก้มตัว ท่าบิดตัว ท่าโค้งหลัง ท่าเปิดไหล่ และท่ากลับตัว เมื่อฝึกเองลองเลือกมาสัก 3 ท่า ท่าละ 3 แบบ จะใช้เวลาประมาณ 30 นาทีพอดี

หากใช้ร่างกายส่วนใดมาก ก็ให้บริหารส่วนนั้นมากเป็นพิเศษ เช่น ถ้าทำงานนั่งโต๊ะใช้คอมพิวเตอร์เกือบทั้งวัน ก็ให้ฝึกท่าเปิดสะโพก เปิดไหล่ ท่าบิดตัว ประเภทละ 4 ท่า เมื่อทำท่าก้มแล้วอย่าลืมท่าหงาย เมื่อบิดซ้ายก็อย่าลืมบิดขวา เพื่อคงความสมดุลของกล้ามเนื้อ แต่อย่าลืมเปิดด้วยท่าสุริยะนมัสการ เป็นท่าไหว้ครูและท่าเปิดที่ดี และควรจบด้วยท่าผ่อนคลาย

“เมื่อฝึกจนคล่องแล้ว จะพบว่าคุณสามารถเรียงท่าได้อย่างต่อเนื่องนุ่มนวลเป็นไปตามธรรมชาติ มีการเริ่มต้นและจบลงอย่างเหมาะสม มีการหายใจที่สงบเป็นสมาธิเพื่อการฝึกที่สมบูรณ์แบบ โยคะที่แท้นั้นคือความเรียบง่ายให้คุณสามารถฝึกได้จากสถานที่ใกล้ตัว นั่นคือที่บ้าน หรือที่ทำงานของคุณ โดยที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากเลย” ครูหนู ว่า

ตามความพร้อมของร่างกายและจิตใจ

ข้อดีอย่างแรกก็คือ เราอาจจะพบว่าการฝึกที่บ้านช่วยแก้ปัญหาเรื่องเวลาที่ไม่แน่นอนได้ และยังฝึกได้ตั้งแต่ 15 นาที ไปจนถึง 2 ชั่วโมงเท่าที่คุณจะมีเวลาฝึก และคุณสามารถทบทวนอาสนะหรือค้างในท่าต่างๆ ได้ตามเสียงเรียกร้องของร่างกาย เช่น ถ้าร่างกายต้องการพักถึง 20 นาทีในท่าศพ หรือต้องการแก้ไขบางท่า ก็สามารถทบทวนและฝึกได้มากขึ้นอย่างเป็นส่วนตัว

แต่หัวใจหลักที่สำคัญที่สุดของการฝึกด้วยตนเองก็คือ การตื่นรู้ที่สถิตอยู่ภายใน เมื่อไม่มีครูมาคอยกำกับระหว่างการฝึก ต้องสามารถฟังเสียงของตัวเองได้ และสามารถสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกายและจิตใจ เมื่อได้ค้นหาสิ่งซึ่งอยู่ลึกลงไปในนี้ได้ คุณก็จะรู้จักตัวตนและสัมผัสประสบการณ์แห่งตัวตนได้อย่างแจ่มชัดขึ้น ที่สำคัญจะไม่กังวลในการเปรียบเทียบกับคนอื่นเช่นเมื่ออยู่ในสตูดิโอ

ฝึกอย่างมีวินัย

การเรียนโยคะส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 90 นาที แต่การฝึกในบ้านหากทำได้ทุกวัน หรือสัปดาห์ละ 3 วัน อาจจะเหลือแค่วันละ 20-30 นาทีก็ได้ การฝึกสั้นๆ ก็ได้ประโยชน์เหมือนกัน หรืออาจจะทำตอนเช้าและเย็นครั้งละ 20 นาที เท่าที่เวลาจะอำนวย โดยทำท่าสุริยะนมัสการในตอนเช้าเพื่อปลุกความสดชื่น และทำอาสนะแบบก้มตัวเพื่อสร้างความผ่อนคลายในช่วงเย็น ซึ่งการฝึกแบบนี้สร้างสมดุลให้กับร่างกายได้ดีทีเดียว

ครูฝึกโยคะส่วนใหญ่เห็นด้วยว่า การฝึกวันละ 20 นาทีส่งผลดีต่อร่างกายกว่าการโหมฝึกสัปดาห์ละ 2 ครั้ง ครั้งละ 90 นาที หากมีเวลาจำกัดการฝึกเพียง 15-20 นาที ก็เพียงพอแล้วสำหรับความสมดุลต่อร่างกาย การเหยียดยืดร่างกายวันละนิดวันละหน่อยนั้นเป็นการบริหารความตึงเครียดในแต่ละวันที่เหมาะสม ทั้งยังช่วยคืนสติและปรับภาวะร่างกาย ซึ่งให้ผลลัพธ์อันมหาศาลหากปฏิบัติอย่างสม่ำเสมอ การทบทวนท่าในทุกวันยังช่วยปรับปรุงการฝึกให้ดีขึ้นได้ เพราะการเรียนรู้จากการทำซ้ำๆ นั่นเอง

การฝึกโยคะเป็นเวลายังช่วยเสริมสร้างเรื่องวินัย การฝึกโยคะที่บ้านทุกวันจนเป็นกิจวัตรจะทำให้รู้สึกผ่อนคลาย สงบ มีสมาธิ คุณจะติดเหมือนต้องอาบน้ำทุกวันเลย

โยคะแก้ปวดเมื่อยคนทำงาน

1.ท่าเงยคอ-ก้มคอ

วิธีทำ - นั่งตัวตรง ยืดกระดูกสันหลัง หายใจเข้า เงยคอ ยกไหล่ขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้ไหล่รับน้ำหนักของศีรษะ หายใจออก ก้มคอช้าๆ โดยไม่ก้มไหล่ กลับคืนสู่ท่าตรง ทำ 3 ครั้ง

2.ท่าหันคอซ้าย-ขวา

วิธีทำ – หายใจเข้า อยู่ในท่าตรง หายใจออก หันคอไปทางซ้าย ตามองไปข้างหน้า พยายามให้คางตรงกับไหล่ซ้าย กลับคืนท่าตรง สลับข้าง หายใจเข้า อยู่ในท่าตรง หายใจออก หันคอไปทางขวา ตามองไปข้างหน้า พยายามให้คางตรงกับไหล่ขวา กลับคืนสู่ท่าตรง ทำ 3 ครั้ง

3.ท่าเอียงคอ-ซ้ายขวา

วิธีทำ – หายใจเข้าอยู่ในท่าตรง หายใจออก เอียงคอทางซ้ายให้ตึงคอทางขวา กลับคืนท่าตรง สลับข้าง หายใจเข้าอยู่ในท่าตรง หายใจออกเอียงคอทางขวาให้ตึงคอทางซ้าย กลับคืนท่าตรง ทำ 3 ครั้ง

4.ท่ายกไหล่ 2 ข้าง

วิธีทำ – นั่งตัวตรง ยืดกระดูกสันหลัง แขนสองข้างผ่อนคลาย หายใจเข้า ยกไหล่ 2 ข้าง หายใจออก ลดไหล่ลง ทำ 3 ครั้ง ประโยชน์ที่ได้ – บำบัดและป้องกันปัญหาอันเกิดจากการทำงานนั่งโต๊ะที่เมื่อยล้า เพื่อป้องกันการเกิดหินปูนที่กระดูกคอและข้อต่อไหล่ เหมาะสำหรับผู้มีปัญหาไขข้ออักเสบ

5.ท่าวีรบุรุษ

วิธีทำ – เป็นการยืดกระดูกสันหลัง นั่งขัดสมาธิ ลำตัวตรง นิ้วมือทั้ง 5 ประสานกัน กลับฝ่ามือออกจากลำตัว หายใจเข้า ค่อยๆ ยกแขนขึ้นเหนือศีรษะ พร้อมกับยืดกระดูกสันหลัง หยุดลมหายใจ 3 วินาที หายใจออก ลดแขนลงช้าๆ กลับสู่ท่าเริ่ม ทำ 3 ครั้ง - นั่งสมาธิหลังตรง หายใจเข้า แขนเหยียดตรงเหนือศีรษะ หายใจออก เอียงตัวทางซ้ายจนตึงลำตัวด้านขวา กลับคืนท่าตรง สลับทำอีกข้าง ทำ 3 ครั้ง ประโยชน์ที่ได้ – ป้องกันหินปูนเกาะกระดูกคอ แก้ปัญหาออฟฟิศซินโดรม ช่วยยืดกระดูกสันหลังให้ตรง ป้องกันอาการไหล่ติด เพิ่มประสิทธิภาพของระบบการหายใจ ขณะนั่งบนเก้าอี้ในที่ทำงานพยายามนั่งตัวตรง ไม่พิงพนักเก้าอี้ หรือฝึกที่บ้านไม่สามารถนั่งขัดสมาธิได้ ควรเปลี่ยนเป็นท่านั่งทับส้นเท้าแบบญี่ปุ่นก็ได้

6.ท่ากลอกตาและพักสายตา

วิธีทำ – กลอกตาไปตามทิศทางคือ ซ้าย-ขวา บน–ล่าง และแนวทแยง หมุนตาตามเข็มนาฬิกาและทวนเข็มนาฬิกาเป็นวงกลม ทำแบบละ 3-5 รอบ หลังจากนั้นถูฝ่ามือให้ร้อนหลายๆ ครั้ง ปิดตา และใช้ฝ่ามือประคบเปลือกตาเบาๆ นับในใจ 1 2 3 ปล่อยมือ ทำ 3 ครั้ง ประโยชน์ที่ได้ – ป้องกันกล้ามเนื้อตาเสื่อม ตาต้อ ช่วยถนอมสายตา

19.12.08

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ

วิธีรักษาอาการปวดต้นคอ

ใครที่รู้สึกปวดต้นคอ ทำอย่างไรก็ไม่หาย วันนี้มีวิธีการรักษาต้นคอโดยการปรับเปลี่ยนลักษณะกิจวัตรประจำวันมาฝาก...

- พยายามใช้ท่าทางอย่างถูกต้องในการเคลื่อนไหว ขณะนั่งทำงาน หรือท่ายืน โดยไม่ก้มคอมากเกินไป

- ออกกำลังกายบริหารกล้ามเนื้อบริเวณคอ

- พยายามใช้หมอนหนุน บริเวณต้นคอและศีรษะเวลานอน

- อาจสวมใส่เครื่องพยุงลำคอถ้ามีอาการปวดเกร็งที่ต้นคอมาก

- การทำกายภาพบำบัดโดยการประคบด้วยความร้อนและการดึงส่วนลำคอโดยนักกายภาพบำบัดจะช่วยบรรเทาอาการได้

- อาหารไม่มีบทบาทในการรักษาโรคปวดต้นคอ หรือทำให้เกิดอาการมากขึ้น

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าไม่อยากปวดต้นคอ ก็ลองปรับเปลี่ยนลักษณะกิจวัตรประจำวันกันดูได้.

เหงื่อบอกโรค

เหงื่อบอกโรค

เหงื่อจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อร่างกายสัมผัสกับสิ่งกระตุ้น 2 อย่าง คือ ความร้อน และอารมณ์ ในทางการแพทย์ระบุว่า เหงื่อสามารถบ่งบอกอาการของโรคบางชนิดได้

ในนิตยสาร "ชีวจิต" ฉบับ พ.ย. พ.ญ.เมทินี ไชยชนะ แพทย์เวชปฏิบัติทั่วไป โรงพยาบาลฝาง จ.เชียงใหม่ อธิบายว่า โรคที่สัมพันธ์กับเหงื่อมี 2 ประเภท คือ

1.โรคที่ทำให้เหงื่อออกมาก

เครียด เหงื่อจะออกมากบริเวณฝ่ามือ ฝ่าเท้า รักแร้ และหน้าผาก ประกอบกับมีอาการอื่นร่วม เช่น ชีพจรเต้นเร็ว ใจสั่น มือสั่น

ต่อมธัยรอยด์เป็นพิษ หรือ คอพอก เหงื่อจะซึมออกมาทั่วตัว โดยเฉพาะบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้าง ร่วมกับมีอาการขี้หงุดหงิด มือสั่น ขี้ตกใจ น้ำหนักลด ตาโปน ผมร่วง เหนื่อยง่าย ใจสั่น หิวน้ำบ่อย

วัณโรค เหงื่อออกมากทั่วตัวในเวลากลางคืน สลับกับเป็นไข้ ไอเรื้อรัง

เบาหวาน เหงื่อซึมทั่วตัว โดยเฉพาะที่ฝ่ามือและฝ่าเท้า ใจสั่น เหนื่อยหอบ หวิวๆ เหมือนจะเป็นลม

โรคหัวใจ เหงื่อแตก ร่วมกับใจสั่น เหนื่อยหอบ ขณะออกกำลังกาย หากมีอาการแน่นที่คอและหน้าอก เหงื่อออกตามนิ้วมือนิ้วเท้าทุกครั้งที่ออกกำลังกาย มีความเสี่ยงเป็นโรคหัวใจสูง

ภาวะใกล้หมดประจำเดือน เนื่องจากสมองหลั่งฮอร์โมนเพศหญิง "โพรเจสเทอโรน" น้อยลง เหงื่อจะออกมากในเวลากลางคืน

2.โรคที่ทำให้เหงื่อออกน้อย

ผู้ที่เหงื่อออกน้อยผิดปกติ เนื่องจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่อง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะความร้อนในร่างกายสูง อาจก่อให้เกิดโรคตามมาดังนี้

โรคผิวหนัง เช่น ผด ผื่น สะเก็ดเงิน ผิวแห้งแตกหยาบ เนื่องจากต่อมเหงื่อใต้ผิวหนังถูกกดไว้จนไม่สามารถขับเหงื่อได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการอุดตันในขุมขนและเป็นโรคได้ในที่สุด

ไมเกรน คนที่มีความเครียดเป็นทุนเดิม ชีพจรเต้นเร็วกว่าปกติ ทำให้เกิดการใช้พลังงานมากกว่าปกติ หากร่างกายได้รับการกระตุ้นจนเกิดความร้อนสะสมแต่กลับไม่มีเหงื่อออกมา อาจทำให้ใจสั่น นอนไม่หลับ เกิดภาวะปวดศีรษะอย่างรุนแรงจนเป็นไมเกรน

คุณหมอเมทินี เสริมว่า โรคที่ทำให้เกิดความผิดปกติของเหงื่อใช่ว่าจะเกิดขึ้นได้ง่ายๆ ต้องมีปัจจัยอื่นร่วมอีกหลายอย่าง แต่มีทางป้องกันได้ ด้วยการหมั่นดูแลสุขภาพตัวเอง ดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 1 ลิตร ออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการขับเหงื่อของร่างกาย และเลือกสถานที่อยู่ให้เหมาะสม ไม่ร้อนหรือแห้งเกินไป จะช่วยป้องกันโรคอันเกิดจากต่อมเหงื่อทำงานบกพร่องได้

18.12.08

ปั่นจักรยานผลาญแคลอรี

ปั่นจักรยานผลาญแคลอรี

อยากฟิตแอนด์เฟิร์มในยุคน้ำมันแพงอย่างนี้ต้องจ้อกกิ้ง หรือวิ่งทน เท่านั้นนะจ๊ะ เพราะไม่ต้องใช้อุปกรณ์อะไรเลย เรียกว่า ประหยัดกันสุดๆ ... แต่ถ้ารู้สึกเบื่อ อาจลองมาปั่นจักรยานกันดูบ้างก็ได้นะ

ก็เพราะจักรยานถือว่าเป็นพาหนะที่เหมาะมั่กๆ ในยุคนี้ เพราะมีคุณสมบัติ 3 ส. คือ สะดวก สิ้นเปลืองน้อย และ สุขภาพดี (คุ้ม คุ้ม) แต่ทุกวันนี้ในเมืองไทย ยังไม่ค่อย เห็นใครเอาปั่นจักรยานเพื่อออกกำลังกาย หรือแม้แต่การใช้เป็นพาหนะเดินทางระยะใกล้ๆ กันเลย

การปั่นจักรยานน่ะมีประโยชน์มั่กๆ เพราะทำให้กล้ามเนื้อขา โดยเฉพาะกล้ามเนื้อต้นขาหน้าและหลังมีความแข็งแรง เป็นการยืดเส้นยืดสาย โดยเฉพาะกล้ามเนื้อบริเวณเอว สะโพก ทำให้ป้องกันปัญหาปวดกล้ามเนื้อขาได้ นอกจากนี้ ยังช่วยในการเผาผลาญพลังงานในร่างกาย ทำให้ลดอัตราการสะสมของไขมันที่ผนังหลอดเลือดได้เป็นอย่างดี

และหากเราออกกำลังกายด้วยการปั่นจักรยานอย่างต่อเนื่อง ก็จะทำให้หัวใจแข็งแรง กล้ามเนื้อหัวใจทำงานได้ดีขึ้น แหมก็แน่ล่ะเพราะการปั่นจักรยานเป็นการออกกำลังกายแบบแอโรบิกที่ช่วยอย่างมากต่อการไหลเวียนของเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกาย ซึ่งนั่นก็เท่ากับช่วยให้หัวใจของเราแข็งแรงไปด้วย ที่สำคัญคือตะกรันไขมันที่จับอยู่ตามเส้นเลือดของเราก็พลอยจะถูกกำจัดออกไปด้วย จึงสามารถป้องกันภาวะเส้นเลือดตีบตันได้อีกทางหนึ่ง ส่วนอวัยวะอื่นๆ ก็ไม่ต้องพูดถึง ย่อมส่งผลดีไปด้วยโดยเฉพาะปอดน่ะแข็งแรงชัวร์ๆ

ปั่นจักรยานไป มองดูทิวศ์ทัศน์รอบๆ ตัว ไปท่ามกลางอากาศที่บริสุทธิ์ นอกจากจะทำให้เราผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้ระบบหายใจแลกเปลี่ยนก๊าซออกซิเจนเพื่อนำไปสร้างเม็ดเลือดขาวในกระแสเลือดได้ดีขึ้น และส่งผลให้เราอารมณ์ดีจากการเพิ่มของระดับฮอร์โมนแอนเดอร์ฟินอีกด้วย

พูดถึงตรงนี้ หลายๆ คนคงอยากออกไปปั่นจักรยานกันบ้างแล้วใช่ไม๊ แต่เดี๋ยวก่อน คนที่เริ่มปั่นจักรยานใหม่ๆ อย่าลืมเลือกจักรยานที่เหมาะกับสรีระของตัวเอง เลือกที่นั่งที่ไม่นิ่มหรือแข็งจนเกินไป หากเลือกไม่ดีอาจทำให้เกิดอาการเมื่อยล้าและปวดกล้ามเนื้อขาได้ง่ายๆ แค่นี้ก็จะได้ออกกำลังกายแบบอารมณ์ดีแล้วล่ะ... เอ้าฟิต แอนด์ เฟิร์ม

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงกับมะเร็ง

ดื่มน้ำน้อยเสี่ยงกับมะเร็ง

จากการสัมมนาทางวิชาการ จัดโดยสถาบันนานาชาติ ไลฟ์ ไซเอินซ์ (ILSI) ร่วมกับสถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล ผู้เชี่ยวชาญได้ กล่าวว่า คนเรามีน้ำเป็นส่วนประกอบ 60 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักตัว ดังนั้น การดื่มน้ำเพื่อสุขภาพ ต้องรักษาปริมาณ น้ำที่ดื่มในแต่ละวัน กับน้ำที่สูญเสียไปให้สมดุล ดังที่สถาบันยาในสหรัฐฯ แนะนำว่าผู้ชายที่ทำกิจกรรมตามปกติ ต้องดื่มน้ำ 3.7 ลิตรต่อวัน ส่วนผู้หญิงควรดื่ม 2.7 ลิตรต่อวัน

รศ.ดร.กัลยา กิจบุญชู สถาบันวิจัยโภชนาการ มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เด็กและผู้สูงอายุเป็นกลุ่มเสี่ยงที่จะตกอยู่ในภาวะขาดน้ำ เนื่องจากเด็กไทยมักจะใช้กำลังมากเกินไประหว่างเล่น ทำให้เกิดภาวะน้ำในร่างกายต่ำ สังเกตจากผิวกายที่เย็นลง อาการเฉื่อยชา ริมฝีปากแห้ง และมีรอยช้ำบนผิวหนัง การหมุน เวียนโลหิตช้าลง

ดร.ห่าวยิง จาง จากสถาบันเครื่องดื่มเพื่อ สุขภาพและการเป็นอยู่ที่ดี ประเทศจีน กล่าวว่า น้ำเป็นสิ่งจำเป็นที่สุดของชีวิต และคนทั่วไปได้รับน้ำจากอาหารและเครื่องดื่ม การดื่มน้ำน้อยมีความเสี่ยงเป็นโรคมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ โรคนิ่วในไต ท่อปัสสาวะอักเสบ โรคเกี่ยวกับฟัน โดยเฉลี่ยน้ำที่คนเราได้รับแต่ละวัน 20% ได้จากอาหาร ส่วนที่เหลือ 80% มาจากน้ำดื่มหรือเครื่องดื่ม ซึ่งรวมถึง ชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำอัดลม และเครื่องดื่มเกลือแร่ ทั้งหมดนี้สามารถคืนน้ำให้แก่ร่างกายได้เช่นกัน

17.12.08

ดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือด

ดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือด

มีการดูแลตัวเองตามกรุ๊ปเลือดมาบอกกันจ้า...

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด A จะมีปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดเนื่องจากร่างกายจะผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอล หรือฮอร์โมนเครียดมาก ดังนั้นควรจะออกกำลังกายด้วยการจดจ่อต่อสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อาทิ โยคะ ไทชิ หรือนั่งสมาธิ เพื่อลดความเครียด หากออกกำลังกายก็อย่าหักโหม

จึงไม่ควรบริโภคเนื้อสัตว์มากเกินไป เพราะผู้ที่มีหมู่เลือดนี้จะไม่ค่อยมีเอนไซม์และกรดที่ย่อยโปรตีนจากเนื้อสัตว์ ควรงดการดื่มนมสดและผลิตภัณฑ์จากนม เพราะจะทำให้เกิดท้องอืด ท้องเฟ้อ ทางที่ดีควรรับประทานผัก อย่างฟักทอง แคร์รอต ผักโขม บร็อกโคลี่ และพืชตระกูลถั่ว โดยเฉพาะถั่วเหลือง ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่มีโปรตีนสูงและช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และควรดื่มชาเขียวเป็นประจำเพื่อช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน ควรจำกัดน้ำตาล กาเฟอีน และแอลกอฮอล์ เพราะสิ่งเหล่านี้จะไปเพิ่มความเครียด และทำให้กระบวนการเผาผลาญพลังงานในร่างกายทำงานช้าลง

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด B เมื่อร่างกายไม่สมดุลระดับฮอร์โมนคอร์ติซอลจะเพิ่มสูงขึ้นทำให้มีโอกาสที่จะติดเชื้อ เกิดอาการเหนื่อยล้า จิตใจมัวหมอง ควรสร้างความสมดุลด้วยการออกกำลังกายในรูปแบบที่ท้าทายแต่ต้องใช้สมาธิควบคู่ไปดวย อาทิ เทนนิส ศิลปะการต่อสู้ ปั่นจักรยาน เดินทางไกล กอล์ฟ หรือไทชิเป็นการลดความเครียด ลดความดัน ทำให้ผ่อนคลาย สร้างสมดุลให้กับร่างกาย

คนเลือดกรุ๊ปนี้เหมาะกับการดื่มนมหรือผลิตภัณฑ์จากนม และเนื้อสัตว แม้คนหมู่เลือดนี้จะสามารถเผาผลาญโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ดีก็ตามแต่ก็ไม่ควรกินเนื้อสัตว์ที่ติดมัน ไม่ควรกินคาร์โบไฮเดรตมากเกินไป และหลีกเลี่ยงเนื้อไก่

- คนที่มีกรุ๊ปเลือด ABเป็นกลุ่มคนที่รักความเคลื่อนไหว ดังนั้นควรออกกำลังกายในรูปแบบที่ใช้แรงมากและต้องสร้างสมาธิได้ด้วย อย่างเช่นโยคะ หรือแอโรบิก คนเลือดกรุ๊ปนี้มีกรดไฮโดรคลอริกน้อยทำให้ย่อยอาหารได้ยาก จึงต้องจำกัดปริมาณเนื้อสัตว์ไม่ควรรับประทานเนื้อไก่ ควรหันมาบริโภคถั่วเหลือง ปลา ไข่ไก่ และผักแทนไม่ควรดื่มกาเฟอีนและแอลกอฮอล์มากเกินไปและไม่ควรอดอาหารเพราะจะทำให้เกิดความเครียด

- คนที่มีเลือดกรุ๊ป O ควรจะออกกำลังกายโดยสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเต้นแอโรบิก วิ่ง หรือปั่นจักรยานจะช่วยปรับสภาวะสมดุลของอารมณ์ได้ คนเลือดกรุ๊ปนี้โปรตีนเป็นสิ่งสำคัญ แต่ควรจำกัดการบริโภคถั่วและหมู ส่วนนมและผลิตภัณฑ์จากนมให้บริโภคแต่น้อยเพราะร่างกายย่อยได้ยาก ควรจะหันมารับประทานผักผลไม้ให้มาก

ไม่ว่าจะกรุ๊ปเลือดไหนก็อย่าลืมดูแลตัวเองด้วย เพื่อสุขภาพที่ดี.

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

กินวิตามิน..เกลือแร่แก้แพ้อากาศ

คนไหนที่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคแพ้อากาศ วันนี้มีทางออกที่ช่วยลดการแพ้อากาศมาบอก...
ลดอาการแพ้อากาศได้โดยการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ดื่มน้ำเปล่ามาก ๆ พักผ่อนให้เพียงพอ และที่สำคัญควรกินผักผลไม้สด เพื่อให้ได้รับวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศวิตามินและเกลือแร่ที่ช่วยลดการแพ้อากาศ ได้แก่

- วิตามินซี ช่วยป้องกันและเสริมสร้างเซลล์เม็ดเลือด ป้องกันหวัดและการแพ้อากาศ แหล่งที่พบมากได้แก่ ฝรั่ง ส้ม และสับปะรด

- วิตามินอี ช่วยสร้างภูมิคุ้นกัน ต้านอนุมูลอิสระ และเสริมสร้างเซลล์ผิวให้แข็งแรง แหล่งที่พบมากได้แก่ ธัญพืช ข้างกล้อง และรำข้าว

- วิตามินเอ ช่วยต้านอนุมูลอิสระและเสริมสร้างการทำงานของเซลล์เม็ดเลือด แหล่งที่พบมากได้แก่ ผักบุ้ง คะน้า ตำลึง แครอท มะเขือเทศ ฟักทอง มะละกอ และน้ำมันตับปลา

- สังกะสี (Zinc) ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกาย และป้องกันอนุมูลอิสระ แหล่งที่พบมากได้แก่ อาหารทะเล ธัญพืช และผลิตภัณฑ์นม

- ซิลิเนียม (Selenium) เพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์และเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกัน แหล่งที่พบมากได้แก่ เนื้อสัตว์ ธัญพืช จมูกข้าว รำข้าว เห็ด และกะหล่ำปลี

รู้อย่างนี้แล้ว ถ้าอยากลดอาการแพ้อากาศ ลองหาวิตามินและเกลือแร่ที่แนะนำมาทานกันดีกว่า.

16.12.08

ฉี่บ่อย ระวัง โรคร้าย ถามหา

ฉี่บ่อย ระวัง โรคร้าย ถามหา

การปัสสาวะบ่อย ๆ นอกจากจะรบกวน การดำเนินชีวิตประจำวันแล้ว อาจเป็นสัญญาณของโรคร้ายบางชนิดที่ทุกคนจะต้องพึงระวัง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นพ.วสันต์ เศรษฐวงศ์ หน่วยศัลยกรรมระบบทางเดินปัสสาวะ กลุ่มงานศัลยศาสตร์ โรงพยาบาลเลิดสิน อธิบายว่า อาการปัสสาวะบ่อย ในทางการแพทย์ หมายถึง ปัสสาวะมากกว่า 6 ครั้งในตอนกลางวัน หรือ มากกว่า 2 ครั้งในตอนกลางคืนหลังเข้านอน

คนที่อายุมากขึ้น โอกาสพบปัสสาวะบ่อยก็มากขึ้นด้วย โดยคนที่อายุน้อยกว่า 40 ปี มีโอกาสพบ 4% ในขณะที่คนอายุมากกว่า 60 ปี มีโอกาสพบถึง 15% ซึ่งอาการปัสสาวะบ่อยในคนหนุ่มสาวมักจะหาสาเหตุได้ง่ายกว่าในผู้สูงอายุที่อาจเกิดจากหลายสาเหตุ

ปัจจัยหรือสาเหตุของอาการปัสสาวะบ่อยมีดังนี้

กลุ่มที่ไม่ได้เป็นโรค เกิดจาก การดื่มน้ำมาก ทำงานในสภาวะอากาศที่เย็น ดื่มเครื่องดื่มที่ผสมกาเฟอีน เช่น ชา กาแฟ ดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ มีภาวะเครียด หรือการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ

กลุ่มที่เป็นโรค แบ่งเป็น 2 ส่วนด้วยกัน คือ

1. ส่วนที่ไม่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะ เช่น โรคเบาหวาน โรคเบาจืด

2. ส่วนที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินปัสสาวะโดยตรง เช่น

กระเพาะปัสสาวะอักเสบ โดยเฉพาะวัยหนุ่มสาว พบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย มักเกิดขึ้นหลังจากกลั้นปัสสาวะนาน ๆ ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อย แสบขัด ไม่สุด ปวดท้องน้อย และอาจมีเลือดปนออกมา ถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาการอักเสบอาจลุกลามไปที่กรวยไต ผู้ป่วยอาจมีไข้สูง หนาวสั่น คลื่นไส้ อาเจียน

นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ พบในผู้ชายมากกว่า ผู้ป่วยมีอาการปัสสาวะขัด ๆ ไม่พุ่ง หยุดสะดุดเป็นช่วง ๆ ระหว่างปัสสาวะ เมื่อตรวจปัสสาวะพบเม็ดเลือดแดง เอกซเรย์จะพบนิ่วในกระเพาะปัสสาวะ

มะเร็งของกระเพาะปัสสาวะ พบบ่อยในผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิง ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะเป็นเลือดเพียงอย่างเดียว โดย ไม่มีอาการอื่นร่วมด้วย แต่บางครั้งอาจมีปัสสาวะบ่อย แสบขัด ต้องอาศัยการตรวจรังสีวินิจฉัย หรือส่องกล้อง

กระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร หรือ โอเอบี เป็นโรคที่พบได้บ่อย โดยพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชายถึง 10 เท่า ผู้ป่วยจะมีอาการปัสสาวะบ่อยมาก อาจถึง 30 ครั้งต่อวัน กลั้นปัสสาวะไม่ได้ ปัสสาวะแต่ละครั้งออกไม่มาก บางรายอาจปัสสาวะไม่สุด ปวดท้องน้อยร่วมด้วย อาการดังกล่าวมักเป็นมานานแล้ว เนื่องจากโรคนี้เกิดจากการทำงานที่ไวผิดปกติของกล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะ

นอกจากนี้อาการปัสสาวะบ่อย อาจเกิดจากความผิดปกติของอวัยวะข้างเคียง ที่มีผลต่อการทำงานของกระเพาะปัสสาวะ เช่น นิ่ว ในท่อไตส่วนล่าง ท่อปัสสาวะอักเสบจากโรคหนองในแท้ และหนองในเทียมท่อปัสสาวะ ฝ่อหลังวัยทองในผู้หญิง ต่อมลูกหมากโตจากมะเร็งต่อมลูกหมาก หรือ ต่อมลูกหมากอักเสบเรื้อรัง และท้องผูกเรื้อรัง

การวินิจฉัยโรค แพทย์จะอาศัยการซักประวัติผู้ป่วยอย่างละเอียด ร่วมกับการตรวจร่างกาย และการตรวจทางห้องปฏิบัติการ การตรวจรังสีวินิจฉัย หรือการตรวจด้วยวิธีพิเศษ

การรักษาอาการปัสสาวะบ่อยนั้น ขึ้นอยู่กับโรคที่เป็นสาเหตุ โรคบาง ชนิดทานยาก็หาย เช่น กระเพาะปัสสาวะอักเสบ กล้ามเนื้อกระเพาะปัสสาวะทำงานไม่เสถียร แต่บางชนิดอาจจะต้องผ่าตัด เช่น มะเร็งต่อมลูกหมาก นิ่วในกระเพาะปัสสาวะ ส่วนคนที่ไม่ได้เป็นโรคก็ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม จากที่เคยดื่มน้ำมาก ก่อนนอนก็ต้องงดหรือดื่มน้อยลง

ท้ายนี้ขอแนะนำ ว่า คนที่มีอาการปัสสาวะบ่อยควรรีบไปพบแพทย์โดยเร็ว เพราะรักษาแต่เนิ่น ๆ นอกจากจะทำให้ชีวิตมีความสุขแล้ว ยังเป็นการรักษาโรคร้ายให้หายขาดอีกด้วย.

รักษาโรคหวัด ด้วยการดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ

รักษาโรคหวัด ด้วยการดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ

แพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคหวัด ต่างพากันยกนิ้วให้กับคำแนะนำของคนรุ่นย่ารุ่นยายที่สอนเอาไว้ว่า ให้ดื่มน้ำอุ่นจะได้หายเร็ว

นักวิจัยของศูนย์โรคหวัดธรรมดา มหาวิทยาลัยคาร์ดิฟฟ์ สหภาพแอฟริกาใต้ได้พบในการศึกษาว่า เครื่องดื่มที่เป็นน้ำผลไม้ที่ไม่มีแอลกอฮอล์อุ่นสัก 1 เหยือกจะช่วยบรรเทาอาการไอและสำลักลงได้

ผู้อำนวยการศูนย์ ศาสตราจารย์รอน เอกเคิล จึงได้ฉวยโอกาสแนะนำให้ผู้ป่วยโรคหวัดธรรมดา หรือไข้หวัดใหญ่ให้ดื่มน้ำผลไม้อุ่นๆ จะได้บรรเทาอาการลงได้ “มันน่าแปลกอยู่เหมือนกัน ที่เพิ่งมีการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ของผลดีในการดื่มเครื่องดื่มร้อน แก้หวัดขึ้นเป็นครั้งแรก” และเสริมว่าข้อดีของการดื่มน้ำผลไม้

นอกจากช่วยต่อสู้โรคภัยแล้ว มันยังถูกทั้งปลอดภัยและได้ผลดีอีกด้วยรายงานผลการศึกษาเปิดเผยอยู่ในวารสารทางวิชาการ “นาสิกวิทยา” ของอังกฤษ กล่าวว่า ได้ทดลองให้อาสาสมัครที่เป็นหวัด 30 คนดื่มน้ำแอปเปิ้ลและแบ็คเคอแรนต์พบว่า มันช่วยบรรเทาอาการน้ำมูกไหล ไอจาม เจ็บคอ หนาวสั่นและเมื่อยล้า ลงได้ทันทีและคงอยู่นาน.

15.12.08

แยมและเยลลี่เพิ่มพลังต้านมะเร็ง

แยมและเยลลี่เพิ่มพลังต้านมะเร็ง

คุณรู้ไหมว่า แยมและเยลลี่มีสารเพกตินซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยยับยั้งการเติบโตของมะเร็งได้


สถาบันวิจัยอาหารแห่งสหราชอาณาจักรค้นพบว่า แยมและเยลลี่ช่วยหยุดการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็งได้ โดยศาสตราจารย์วิก มอร์ริส เจ้าของงานวิจัยกล่าวว่า “ทั้งแยมและเยลลี่อุดมไปด้วยเพกติน ใยอาหารธรรมชาติที่พบในผักผลไม้ เมื่อผ่านกระบวนการแปรรูปเป็นแยมและเยลลี่ เพกตินจะปล่อยโมเลกุลชนิดหนึ่งออกมาซึ่งมีคุณสมบัติช่วยยับยั้งการเติบโตของ มะเร็งอย่างได้ผล”


แม้เพกตินในผักผลไม้แปรรูปจะช่วยต้านมะเร็งได้ แต่ยังไม่มีผลวิจัยชี้ชัดว่าในผักผลไม้สดจะมีคุณสมบัติเหมือนกันหรือไม่ อย่างไรก็ดี ไม่ควรมองข้ามประโยชน์จากผักผลไม้สด ใครที่อยากได้ประโยชน์จากเพกติน ต้องกินผลไม้ตระกูลส้มและแอ๊ปเปิ้ล โดยเฉพาะส่วนผิวและแกนจะมีเพกตินมากที่สุด

ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

ปรุง...ต้านมะเร็ง ด้วยเมนูโฮมเมด

You are what you eat คำกล่าวนี้ทำให้กระแสของการทำอาหารสไตล์โฮมเมดเฟื่องฟูในยุคปัจจุบัน ส่วนหนึ่งมาจากความทันสมัยของวิทยาการที่สร้างสรรค์เครื่องครัวที่มีประสิทธิภาพ ช่วยประหยัดเวลา ลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมอาหาร แต่ที่สำคัญเหนืออื่นใดคือเราสามารถคัดสรรสารอาหารจากวัตถุดิบได้อย่างมีคุณภาพ และปลอดภัยได้มากขึ้น การปรุงอาหารจึงเป็นเสมือนการจัดยาต่อต้านโรคร้ายที่แสนอร่อย และสนุกสนาน และถ้าคุณเป็นอีกคนที่ตระหนักในสุขอนามัยของสุขภาพที่ช่วยต้านพิษ และลดความเสี่ยงของการสะสมอนุมูลอิสระที่ก่อให้เกิดมะเร็งและโรคร้ายอื่นๆ นี่คือไอเดียเก๋ๆ ตำรับ น.พ.สำราญ อาบสุวรรณ ผู้หายจากมะเร็งปอดระยะสุดท้ายที่ WP ขอแนะนำให้สาวโฮมเมดหัดทำ

น้ำซุปโพแทสเซียมสำหรับใช้เป็นน้ำแกงปรุงอาหาร

ส่วนผสม & เครื่องปรุง :
น้ำสะอาด 20 ลิตร
หอมใหญ่ 1/2 กก.
แครอทขนาดกลาง 1/2 กก.
มันฝรั่ง 1/2 กก.
หัวไชเท้า 1/2 กก.
(จะใส่หรือไม่ก็ได้ บางคนบอกว่าจะไปล้างยา)

วิธีทำ : ต้มน้ำให้เดือด นำผักที่เตรียมไว้ใส่ลงไปในหม้อต้มให้เดือด 15 นาที จากนั้นเคี่ยวไปประมาณ 2 ชั่วโมง ไฟกลางๆ เมื่อได้ที่แล้วทิ้งให้เย็น กรองเอากากออก นำน้ำซุปที่ได้แบ่งใส่ถุง แช่ช่องแข็งไว้ใช้ทำอาหารต่อไป

แกงเลียง
ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, หอมแดง, กระชาย, พริกไทยป่น, สาหร่าย, (แผ่นกลมๆ ที่ใช้ใส่แกงจืด) ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น บวบ, ตำลึง ใบแมงลัก, ฟักทอง, ข้าวโพดอ่อน, น้ำเต้า, ผักแม้ว, เป็นต้น ซีอิ๊วขาว

วิธีทำ : ตำหอมแดง กระชาย พริกไทยป่น สาหร่ายเข้าด้วยกัน หรือจะปั่นก็ได้ (ปั่นต้องใส่น้ำซุปลงไปด้วย) นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อละลายเครื่องแกงที่ตำไว้ ปิดฝา ตั้งไฟให้เดือด เมื่อได้ที่แล้วใส่ผักสุกยากลงไปก่อน เช่น ฟักทอง ข้าวโพดอ่อน ผักที่เป็นใบใส่ทีหลัง ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว ชิมรส

แกงส้มผักรวม
ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, เครื่องแกงส้ม (ต้องไม่ใส่กะปิ), น้ำมะขาม, ซีอิ๊วขาว, น้ำตาลโตนด, ผักสดแล้วแต่ชอบ เช่น ยอดมะพร้าว, ผักบุ้งไทย, กะหล่ำปลี, ดอกกระหล่ำ ฯลฯ

วิธีทำ : นำน้ำซุปโพแทสเซียมใส่หม้อ ละลายเครื่องแกงก่อนที่จะตั้งเตา (ถ้าละลายในน้ำเดือดจะจับตัวเป็นก้อน) ตั้งไฟให้เดือด ปรุงรสตามชอบ (ควรลดเค็มและหวาน) ใส่ผักลงไป ชิมรสอีกครั้ง เพราะน้ำในผักจะทำให้รสชาติเปลี่ยนไปเล็กน้อย

ผัดผักรวมมิตร
ส่วนผสม & เครื่องปรุง : น้ำซุปโพแทสเซียม, แครอทขนาดกลาง, ถั่วลันเตา, เห็ดหอม, ผักกาดขาว, ข้าวโพดเมล็ด, กระเทียมหั่นแว่นพอประมาณ, ซีอิ๊วขาวเล็กน้อย, เกลือโพแทสเซียมเล็กน้อย

วิธีทำ : คั่วกระเทียมให้หอม แล้วจึงใส่น้ำซุปโพแทสเซียมลงไปพอประมาณ ใส่ผักเตรียมไว้ (ใส่ผักสุกยากลงไปก่อน) ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาวและเกลือโพแทสเซียมเล็กน้อยเท่านั้น ปิดฝาให้ผักระอุสักครู่ ผัดให้เข้ากันอีกครั้ง ตักใส่จาน

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

ยิ่งนอนดึก ยิ่งเร่งวันตาย

การนอนดึกเป็นเหตุให้อายุสั้น เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง การทำงานดึกทำให้ร่างกายล้า เหมือนกับ เครื่องยนต์ overload ไม่ช้าเครื่องก็พัง วิธีแก้ไขในกรณีต้องทำงานดึก (เพื่อไม่ให้ร่างกายโทรมเร็ว) ผู้ที่มีหน้าที่บริหารงาน มักจะพบปัญหานี้กันมาก เพราะต้องเร่งงาน ความเสียหายที่เกิดขึ้นกับคนนอนดึก

1. ร่างกายพักผ่อนไม่เพียงพอ เกิดอาการล้า
2. ระบบร่างกายจะรวน ดังนี้

ระบบการย่อยอาหาร ท้องอืด ท้องเฟ้อง่าย อาหารย่อยไม่ดี ทำให้อุจจาระหยาบ คืออาหารที่ทานเข้าไป ถ้าไม่นอนดึก อุจจาระจะสวย ไม่มีเศษอาหารติดอยู่ เหมือนกับแท่งทอง แต่ถ้าอดนอนแล้วอุจจาระจะหยาบ จะมีเศษ อะไรต่างๆ ติดอยู่ เหมือนกับรถที่มีเขม่าติด เกิดจากการที่ร่างกายย่อยไม่หมด เพราะล้า แนวทางแก้ไข ให้ลดอาหารประเภทเนื้อสัตว์ อาหารเหนียวๆ มิฉะนั้นลำไส้ทำงานหนัก ยิ่งนอนดึกแม้ เราหลับไปแล้ว แต่ลำไส้ไม่หลับ ยังคงย่อยอยู่ต่อไป พอตื่นขึ้นมาก็เพลีย ให้ทานไข่ นม แทนพวกเนื้อ สัตว์ ก็จะพอถูไถไปได้ มิฉะนั้นท้องจะผูกเป็นประจำ ริดสีดวงทวารจะถามหา (ถ้าหากอ้วนก็ให้ทานนม แทนไข่) ท้องผูก มี 2 ลักษณะ
1. ผูกแข็ง คือ อุจจาระแข็ง
2. ผูกเหลว คือ อาการถ่ายอุจจาระไม่หมด ยังค้างอยู่ แต่ลำไส้ล้า กระเพาะอาหารล้า ทำให้ไม่มี แรงบีบให้ออกจนหมด ดังนั้นในวันหนึ่งๆ จึงต้องถ่ายหลายครั้ง


โรคที่จะตามมาก็คือ ผื่นคันบริเวณขาหนีบ (ไม่ใช่เพราะความ สกปรกหมักหมม) จะคันทั้งวัน ปกติอุจจาระจะกึ่งแข็งกึ่งเหลว ถ้าแข็งแสดงว่าส่วน ที่เป็นน้ำได้ซึมกลับเข้ามาในลำไส้ ซึ่ง มันเป็นของเสีย ที่ต้องขับออก ผลก็คือทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะมาประทุบริเวณเนื้ออ่อนๆ เช่นที่ขาหนีบ สาเหตุก็มาจาก ท้องผูกนั่นเอง เพราะฉะนั้น อย่านอนดึก ถ้าต้องดึกก็ให้ออกกำลังหน้าท้อง ให้ท้องเกิดกำลัง จะได้รีดอุจจาระออกมา ได้เร็ว ทานเสร็จแล้วอย่านอน ให้เดินสักครึ่งชั่วโมง เพราะพอขาได้เดิน ลำไส้มันก็ต้องไปกับขาด้วย จะช่วย ทำให้ย่อยได้ดีขึ้น ท้องจะผูกน้อยลง ผื่นคันก็จะหาย ถ้ายังไม่หาย (เนื่องจากอายุมาก) ให้ทานน้ำขิงสด (ไม่ใช่ขิงผง เป็นซองๆ) พวกที่นอนดึกต้องให้ท้องอุ่นมากๆ ให้หาผ้ามาห่ม เดี๋ยวท้องจะอืด เฟ้อ บางทีต้องให้เท้าอุ่นด้วย ให้หา ถุงเท้ามาใส่ มิฉะนั้นเท้าจะชา

ระบบปัสสาวะ ถ้านอนไม่ดึก ประมาณ 3-4 ทุ่ม พอตื่นเช้าขึ้นมาจะปัสสาวะครั้งเดียวจบ แต่ถ้านอนดึก ยิ่งนอนตีหนึ่ง กลางดึกจะต้อง ลุกเข้าห้องน้ำถี่ เพราะร่างกาย overload ต้องการน้ำมาก กล้ามเนื้อข้างในจะบีบคั้นเอาพลังงานออกมาใช้ จึงต้องใช้น้ำมาก ผลก็คือปัสสาวะบ่อยทำให้พวกเกลือแร่ที่อยู่ในร่างกายจะถูกขับออกมาพร้อมกับปัสสาวะด้วย ยิ่งอายุ 35 ขึ้นไปจะยิ่งแย่ แนวทางแก้ไข ให้ทานแคลเซี่ยมเม็ดได้ แต่อย่ามาก แค่ 1 เม็ดก็พอ ถ้าทานมากจะทำให้แคลเซี่ยมพอก คืออาการที่กระดูกงอกทับเส้นประสาท (ถ้าเป็นแล้วต้องให้คนนวด และทานยาละลายแคลเซี่ยมช่วย) ถ้าไม่ทาน แคลเซี่ยมชดเชย จะทำให้เลือดจาง เม็ดโลหิตจาง สรุปแล้วการอดนอน เท่ากับเร่งวันตายให้ตัวเอง

การนอนดึกต้องดื่มน้ำให้มาก และเติมเกลือในน้ำด้วย คือ พอเราดื่มแล้วมันออกมาหมดทั้งทางปัสสาวะและเหงื่อ เราทานเกลือมากๆ ยังออกทางเหงื่อได้ แต่ถ้าทานแคลเซี่ยมมากทำให้กระดูกงอก ส่วนโค้ก เป๊ปซี่ กระทิงแดง อย่าทาน พอเราอยู่ดึกและกลั้นปัสสาวะ มันจะซึมกลับเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ก็จะไปประทุที่ขาหนีบ หรือท้องแขนเป็นเม็ดแดงๆ เป็นจ้ำขึ้นทั่วเลย บางคนไม่กลั้น แต่ดื่มน้ำน้อย อาการก็จะเหมือนกับการโม่ แป้งฝืดๆ ลำไส้บีบตัวไม่ไหว ต้องเค้น ก็จะเพลีย แต่ถ้าดื่มน้ำมาก ทำให้ถ่ายสบาย ถ้าดื่มน้ำน้อยจะทำให้กรดยูเรียเข้มข้น พอเรากลั้นปัสสาวะมันก็จะซึมเข้าเส้นเลือด ทำให้น้ำเหลืองเสีย ถ้ากลั้นบ่อยๆ จะทำให้ปัสสาวะไม่หมด ระบบเหงื่อ คนที่ไม่มีเหงื่อออก จะแย่ ถ้าขับเหงื่อให้ออกได้ร่างกายสบาย ถ้าเหงื่อไม่ออกความร้อนภายในร่างกายจะระบายไม่ได้ ทำให้อึดอัด ของเสียในร่างกายก็ออกไม่ได้ โรคผิวหนังจะถามหา สิวฝ้าจะขึ้น เพราะฉะนั้น ดื่มน้ำให้มากพอและออกกำลังกาย เท่านั้นพอ เอาจนเหงื่อออกให้ได้ คนนอนดึกเหงื่อจะไม่ค่อยออก ของเสียตกใน สิวฝ้าขึ้น มันก็จะไปออกทางปัสสาวะแทน ไตเลยทำงานหนัก

ระบบหายใจ ระบบหายใจจะเสียตามมา ร่างกายจะเอาออกซิเจนไปแลกเลือดดำให้เป็นเลือดแดงได้ต้องมีความชื้น ถ้าความชื้นน้อยมันจะไม่แลก ทำให้อึดอัด เหมือนอยู่ห้องแอร์แล้วอึดอัด เพราะความชื้นไม่พอ ไม่ใช่ อากาศไม่พอ อากาศมันแห้งเลยเอาความชื้นในตัวเราไป ทำให้ปอดทำงานไม่สะดวก และออกซิเจนไม่ ได้ แนวทางแก้ไข ให้เอาน้ำใส่กะละมังไว้ข้างตัว ยิ่งเป็นน้ำร้อนยิ่งดี ถ้าอึดอัดให้เอาผ้าหนุนเท้าให้สูง เลือดก็จะไหลลงมาได้ จะทำให้นอนสบาย การดื่มน้ำหวานๆ ตอนอยู่ดึกๆ ก็ช่วยได้ แต่อย่าหวานมากจะทำให้อ้วน ถ้าจะให้ดีที่สุดอย่าอยู่ดึก ดึกได้ เป็นครั้งคราวถ้าจำเป็น คนนอนดึกเสียงจะแห้ง เพราะไตมันล้า การใช้สบู่ ให้ใช้สบู่เด็ก เพราะเป็นสบู่อ่อน การกัดจะน้อย อย่าใช้สบู่แรงๆ ให้ฟอกสบู่วันละครั้งก็พอ ถ้าฟอกวันละหลายๆ ครั้งไขมันจะหมด จะทำให้ผิวแตก ถ้าคันมากๆ อันเนื่องมาจากการนอนดึก ถ้า เราไม่ทราบเราจะยิ่งฟอกสบู่หนักเข้าซึ่งไม่ดี ให้ฟอกวันเว้นวัน การดูแลรักษาร่างกายให้ดี จะทำให้นั่งสมาธิได้ดี นั่งได้นาน ไม่คัน ไม่เข้าห้องน้ำบ่อย


ที่มา : heyhaparty.blogspot.com