ความสำคัญของธาตุเหล็กที่มีต่อการบริจาคโลหิต
การบริจาคโลหิต เป็นการนำโลหิตออกจากร่างกาย โดยเจาะออกทางเส้นโลหิตดำครั้งหนึ่ง ๆ ประมาณ 350 -450 มิลลิลิตร (ซี.ซี.) หรือประมาณ 6 -7 เปอร์เซ็นต์ ของปริมาณโลหิตในร่างกาย การเอาโลหิตออกจากร่างกายในปริมาณดังกล่าว ไปเกิดอันตรายร่างกายใด ๆ แต่จะช่วยกระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานได้ดีขึ้น ในทำนองเดียวกับการออกกำลังกายที่ช่วยให้การทำงานของกล้ามเนื้อแขนขาดีขึ้น ระบบไหลเวียนของโลหิตดีขึ้น แต่ทั้งนี้หมายถึงการบริจาคโลหิตที่ไปบ่อยเกินเกณฑ์ คือทุก 3 เดือน และรักษาสมดุลให้อัตราสร้างใหม่ทดแทนเท่ากับที่เสียไป โดยเฉพาะวัตถุคือธาตุเหล็กมิฉะนั้นอาจเกิดภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็กได้
โลหิตจางจากภาวะขาดธาตุเหล็ก
เมื่อร่างกายต้องสูญเสียโลหิตไปเป็นปริมาณมาก ๆ เช่น ผ่าตัดใหญ่ คลอดบุตร ได้รับอุบัติเสียโลหิตมาก สตรีมีประจำเดือนที่มาผิดปกติ (ปกติประมาณ 60 -80 มิลลิลิตร / เดือน) รวมไปถึงการบริจาคโลหิต (ครั้ละ 350 -450 ม.ล.) แผลในกระเพาะอาหารที่มีโลหิตออก ริดสีดวงทวารที่มีโลหิตออกเรื้อรังหรือมีพยาธิปากขอในลำไส้ เป็นต้น ในภาวะเหล่านี้ร่างกายจะสูญเสียธาตุเหล็กมากกว่าปกติ ถ้าไม่ได้รับการป้องกันและแก้ไขจะนำไปสู่การเกิดภาะวโลหิตจาง จากการสูญเสียธาตุเหล็ก
ธาตุเหล็กสำคัญต่อการสร้างโลหิต
โภชนาการของท่านในวันนี้อาจจะไม่เหมาะสมหรือไม่เพียงพอที่จะเป็นผู้บริจาคโลหิตที่มีคุณภาพได้เพราะ เหตุว่าท่านอาจได้รับธาตุเหล็กจากอาหารยังไม่เพียงพอ โปรดสำรวจดูว่าท่านได้ปฏิบัติตัวให้เหมาะสม ที่จะเป็นผู้บริจาคประจำในระยะยาวได้หรือไม่ โดยไม่ประสบปัญหาเกิดภาวะขาดธาตุเหล็ก และโลหิตจางเสียก่อนและจะปฏิบัติตัวอย่างจึงจะดี ร้อยละ 70 ของธาตุเหล็กในร่างกายอยู่ในเม็ดโลหิตแดงในรูปที่เรียกว่า ฮีโมโกลบิน เมื่อเม็ดโลหิตแดงมีอายุประมาณ 120 วัน ก็จะสลายไป หรือเก็บสะสมไว้ภายในร่างกายถึงร้อยละ 97
อาหารที่มีธาตุเหล็ก
โดยปกติร่างกายได้รับธาตุเหล็กทางเดียวเท่านั้นคือ จากอาหารที่รับประทาน โดยลำไส้จะดูดซึมธาตุเหล็กได้ประมาณ 1 และ 1.5 มิลลิกรัม ในผู้ชายและผู้หญิง ตามลำดับ และจะดูดซึมได้เพิ่มขึ้นในภาวะร่างกายขาดธาตุเหล็กจะไม่เกิน 3 – 4 / กรัม
ธาตุเหล็กที่มีอยู่ในอาหารแบ่งได้เป็น 2 ชนิด คือ ชนิดที่มีอยู่ในอาหารที่มาจากสัตว์ เช่น เนื้อ เลือด เครื่องในและไข่และชนิดที่พบอยู่ใน พืช ผัก ผลไม้ ธัญพืช (ข้าวกล้อง ลูกเดือย ข้าวฟ่าง ฯลฯ) และถั่วต่าง ๆ สารอาหารที่มีธาตุเหล็ก อาทิ ผักใบเขียว ผักหวานสวน มะเขือพวง งาขาว งาดำ ซึ่งพืชผักผลไม้ที่มีวิตามินซีสูงจะช่วยเพิ่มการดูดซึมธาตุเหล็กในร่างกายได้ดีขึ้น ทั้งนี้ขึ้นกับปัจจัย
อื่น ๆ ด้วย เช่น ปริมาณธาตุเหล็กที่มีอยู่ในร่างกาย วัยเด็กที่กำลังเจริญเติบโต สตรีในช่วงมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์ รวมถึงภาวะที่สูญเสียและโลหิตจาง
ยาธาตุเหล็กสำหรับผู้บริจาคโลหิต
โดยปกติร่างกายจะเสียธาตุเหล็กจากการหลุดลอกของเซลล์ผนังลำไส้ และเซลล์อื่น ๆ ไปเป็นปริมาณที่น้อยมาก คือ ประมาณ 1 มิลลิกรัม / วันในผู้ชาย และ 1.5 มิลิลกรัม / วันในผู้หญิง (เท่ากับที่ได้รับจากอาหาร) การมีประจำเดือนแต่ละเดือน ผู้หญิงจะสูญเสียธาตุเหล็ก ประมาณ 30 – 40 มิลลิกรัม ส่วนการบริจาคโลหิตแต่ะลครั้ง จะเสียธาตุเหล็กประมาณ 150 -200 มิลลิกรัม ซึ่งการสูญเสียธาตุเหล็กดังกล่าว จะสามารถป้องกันและแก้ไขได้
จากการศึกษาในผู้บริจาคโลหิตที่ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย พบว่าส่วนใหญ่ถึงร้อยละ 40 ของผู้ที่ไม่สามารถบริจาคได้ทั้ง ๆ ที่อยากบริจาคและดูแข็งแรงดีโดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงมีสภาวะโลหิตจางหรือความเข้มข้นของโลหิตไม่เพียงพอ เมื่อเจาะโลหิต 1 หยดจากปลายนิ้ว หยดลงไปในน้ำยาสีฟ้าซึ่งเป็นน้ำยาตรวจความเข้มข้นของโลหิต หยดโลหิตนั้นจะลอยอยู่หรือจมลงช้า ๆ ซึ่งหมายความว่าความเข้มข้นของโลหิตน้อยกว่า 12 กรัม / ด.ล. ในผู้หญิง หรือน้อยกว่า 13 กรัม / ด.ล. ในผู้ชาย ถ้าความเข้มของโลหิตเพียงพอ หยดโลหิตจะจมลงไปทันที
สำหรับผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จะจัดยาเม็ดธาตุเหล็ก “เฟอร์รัสซัลเฟต” ให้กับผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน ผู้หญิงรับประทาน 30 วัน วันละ 1 เม็ด ผู้ชายรับประทาน 15 วัน ๆ ละ 1 เม็ด หลังอาหารเย็นการรับประทานยานี้ อาจมีอุจจาระสีดำเพราะธาตุเหล็กส่วนใหญ่ไม่ถูกดูดซึมและทำปฏิกิริยากับก๊าซออกซิเจนและกรดในกระเพาะอาหารและลำไส้ จึงขอเน้นให้ผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน กินยาเม็ดธาตุเหล็กที่มอบให้ไปจนหมด
ดังนั้นเพื่อเป็นการรักษาสภาวะความสมดุลของร่างกาย ให้สามารถบริจาคโลหิตได้ทุก 3 เดือน ตลอดไปจนถึงอายุ 60 ปี ผู้บริจาคโลหิตจึงควรบริจาคโลหิตในขณะที่รู้สึกว่าร่างกายของตนสมบูรณ์เท่านั้น ไม่ควรฝืนใจบริจาคโลหิตทั้ง ๆ ที่รู้สึกว่าร่างกายของตนไม่ปกติ หลังจากบริจาคโลหิตแล้ว ควรรับประทานอาหารให้ถูกสัดส่วนและที่มีธาตุเหล็กสูง หากท่านได้ปฏิบัติตัวตามคำแนะนำดังกล่าวข้างต้น ท่านจะไม่เกิดภาวะโลหิตจางอย่างแน่นอน โลหิตของท่าจะมีความเข้มข้นเพียงพอทุกครั้งที่มาบริจาคโลหิต ระบบโลหิตในร่างกายมีโลหิตใหม่ที่มีคุณภาพหมุนเวียนทดแทนโลหิตเก่าที่ออกไป ส่งผลให้เป็นผู้ที่มีผิวพรรณสดใส ไม่อ่อนเพลียมีสุขภาพอนามัยที่สมบูรณ์แข็งแรงดีตลอดไป
เอกสารอ้างอิง
1. The Concise Encyclopedia of Foods & Nutrition โดย Audrey H Ensminger และคณะ
2. The Nutraceutical Revolution โดย Richard N. Firshein
3. Technical Manual 12th Anerican Association of Blood Banks.
รวบรวมและเรียงโดย ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
ที่มา : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
แหล่งรวมข้อมูล...การดูแล รักษาสุขภาพ สาระ ประโยชน์มากมาย รวมถึง วิธีการปฏิบัติ วิธีการป้องกันโรคต่าง ๆ
28.9.12
โรคกระเพาะอาหาร
ยาสมุนไพรสำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน
โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหาร (peptic ulce) หมายถึงอาการปวดแสบ ปวดต้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่น ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ) เวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ ๆ สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะคือ ความเครียด (วิตกกังวล คิดมาก เคร่งเครียดกับการงาน การเรียน) พฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดเวลา และการรับประทานอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เช่น เหล้า เบียร์ แอสไพริน (ยาแก้ปวด ยาซอง) ยาแก้ปวดข้อ ยาชุด หรือยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่เข้าสารคาเฟอีน เป็นต้น
การรักษาโรคกระเพาะ โดยการรับประทานยา และดูแลสุขภาพ ของตนเอง ดังนี้
ก. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
ข. รับประทานอาหาร 3 มื้อตามปกติ
(ถ้าปวดมากในระยะแรก ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม)
อย่ารับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
ไม่จำเป็นต้องแบ่งรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้นดังที่เคยแนะนำกันในอดีต เพราะยิ่งรับประทานมากนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นแล้ว (ต้องคอยลดความอ้วนอีก) ยังอาจจะทำให้อาการกำเริบได้ง่ายอีกด้วยคนที่เป็นโรคกระเพาะบางครั้งอาจรู้สึกหิวง่ายก็ควรรับประทาน ยาลด กรดแทนนมหรือข้าว
ค. งดเหล้า เบียร์ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม และบุหรี่เพราะจะทำให้โรคกำเริบได้
ง. ห้ามรับประทานยาแอสไพริน ยาแก้ปวดข้อ ยาที่เข้าเตรียรอยด์
(ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาโรคอื่น ควรปรึกษาแพทย์)
จ. คลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน โยคะ เต้นแอโรบิก) หรือทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือเจริญภาวนาตามศาสนาที่ตัวเองนับถือ คนที่เป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด การปฏิบัติในข้อนี้ จะมีส่วนช่วยให้โรคหายขาดได้
ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร คือ
1. ขมิ้นชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn., Curcuma domesticaVal.
ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น(ใต้)
ตายอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช ขมิ้นมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ประเทศอินเดีย จีน และหมู่เกาะ อินเดียตะวันออกปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ อย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ขมิ้นเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน อายุหลายปี ถึงฤดูแล้งใบจะโทรม เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเริ่มแตกใบขึ้นมาใหม่เนื้อในของเหง้ามีสีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดเข้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านยาว ใบเหนียว เรียวและปลายแหลม กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอกเป็นดอกช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน กลีบประดับสีเขียวอมชมพู ดอกบานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลม มี พู
ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าแห้ง
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บเมื่อขมิ้นอายุราว 7-9 เดือน
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด กลิ่นหอมแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม ท้องร่วง
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เหล้าขมิ้นมีน้ำมันหอมระเหยประมาณร้อยละ 22-6 เป็นน้ำมันสีเหลือง มีสารหลายชนิด คือ Turmerone, Zingiberene, Borneol เป็นต้น และมีสารสีเหลืองส้ม คือ เคอร์ควิมิน (Curmumin) ประมาณร้อยละ 1.8-5.2
การศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า ขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขับน้ำดี และฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบได้ โดยที่ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเกิดจากสารเคอร์คิวมิน ขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้เกิดการกระตุ้น การหลั่ง mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ แต่ถ้าใช้ขนาดสูงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ ส่วนฤทธิ์ลดการอักเสบเกิดจากสารเคอร์คิวมินและน้ำมันหอมระเหย ทำให้ขมิ้นมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้
ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ (2529) ศึกษาผลของยาแคปซูลขมิ้นในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องเนื่องจากแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กดูโอนินั่ม โดยดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังภายในกระเพาะอาหารและสำไส้เล็กดูโอนินั่ม ด้วยกล้องส่องตรวจ (Endoscope) ในผู้ป่วยชาย 8 ราย หญิง 2 ราย อายุระหว่าง 16-60 ปีผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อย10 ราย นี้เป็น D.U. 2 ราย มีขนาดแผล 0.5-1.5 ซม. โดยให้รับประทานขมิ้นชันขนาดแคปซูลละ 250 มก.ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 มื้อ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง และก่อนนอน ปรากฏผลว่า แผลของผู้ป่วยหายเรียบร้อยดี 6 ราย คิดเป็น 60 % ในระยะเวลา 4-12 สัปดาห์ ในจำนวนนี้ถ้าแสดงผลการหายของแผลเรียบร้อยภายในเวลา 4 สัปดาห์ ได้เป็น 50%
อัญชลี อินทนนท์ และคณะ (2529) ได้ทำการทดลองใช้ขมิ้นรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการของโรคแผลเปปติค (Peptic Ulcer) โดยเปรียบเทียบกับการใช้ไตรซิลิเกต (Trisiligate) ซึ่งเป็นยาลดกรดขององค์การเภสัชกรรม ได้ผลดังนี้ คืออาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยขมิ้นชัน ครบ 12 สัปดาห์ จำนวน 15 ราย คิดเป็น 60% หายปกติ 1 ราย คิดเป็น 58 % อาการดีขึ้นมาก หลังรักษาด้วยไตรซิลิเกต 5 ราย คิดเป็น 50 % หายปกติ 4 ราย คิดเป็น 40 %
ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์ และในการวิจัยทางคลินิกของ ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์และคณะ (2529) ได้ศึกษาเคมีเลือดผู้ป่วยที่รับการ ทดลองจำนวน 30 คน ก่อนและหลังรับประทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในผลเคมีเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไต และฮีมาโตโลยี ส่วนผลแทรกแซง พบอาการท้องผูก ราย แพ้ยามีผื่นที่ผิวหนัง 2 ราย
วิธีใช้
ขมิ้นใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารโดยการนำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล เก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
บางคนรับประทานขมิ้นแล้วอาจมีอาการแพ้ขมิ้น เช่นคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน
ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร
2 กล้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum Linn.
ชื่อท้องถิ่น -
ลักษณะพืช กล้วยเป็นพืชเมืองร้อนและเป็นพืชที่คุ้นเคยกับคนไทยมาช้านาน เพราะเกือบทุกส่วนของกล้วยมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน กล้วยเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรง รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ขอบใบขนานกัน ช่อดอกคือหัวปลี มีลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2 ศอก มีดอกย่อยออกเป็นแผง กลายเป็นผลติดกัน เรียกว่าหวี เรียงซ้อนและติดกันที่แกนกลางเรียกว่าเครือส่วนที่ใช้เป็นยา ผลกล้วยดิบหรือผลห่าม
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บผลกล้วยช่วงเปลือกเป็นสีเขียว ต้นกล้วยจะให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด ฤทธิ์ฝาดสมาน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กล้วยดิบประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด คือ Tannin , Serotonin, Norepinephnine, Dopamin และ Catecholamine สารเหล่านี้อยู่ในเนื้อและเปลือกของกล้วยสำหรับกล้วยสุกมี pectin , Essential oil, Norepinephrine และกรดอินทรีย์หลายชนิด
ปี คศ. 1964 Best และคณะ ได้พบว่าผงกล้วยดิบมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะหนูขาว ซึ่งเกิดจากการให้ aspirin โดยสามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ในการป้องกันจะใช้ขนาด 5 กรัม ส่วนการรักษาใช้ขนาด 7กรัม และถ้าเป็นสารสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์แรงเป็น 800 เท่าของผงกล้วย ผู้วิจัยเข้าใจว่ากล้วยดิบไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ กล้วยจะดีกว่ายาพวก Aluminium hydroxide, Cimetidine หรือ Postaglandin ซึ่งมีฤทธิ์เฉพาะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาแผลที่เกิดแล้วได้
วิธีใช้
นำกล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และบดเป็นผง วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย เป็นต้นสำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน, “ยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน”
โรคกระเพาะอาหาร
โรคกระเพาะอาหาร (peptic ulce) หมายถึงอาการปวดแสบ ปวดต้อ ปวดเสียด หรือจุกแน่น ตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ (เหนือสะดือ) เวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ ๆ สาเหตุสำคัญของโรคกระเพาะคือ ความเครียด (วิตกกังวล คิดมาก เคร่งเครียดกับการงาน การเรียน) พฤติกรรมการรับประทานอาหารผิดเวลา และการรับประทานอาหารที่ระคายเคืองต่อกระเพาะอาหารและลำไส้เช่น เหล้า เบียร์ แอสไพริน (ยาแก้ปวด ยาซอง) ยาแก้ปวดข้อ ยาชุด หรือยาลูกกลอนที่ใส่สเตียรอยด์ เครื่องดื่มชูกำลัง ที่เข้าสารคาเฟอีน เป็นต้น
การรักษาโรคกระเพาะ โดยการรับประทานยา และดูแลสุขภาพ ของตนเอง ดังนี้
ก. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
ข. รับประทานอาหาร 3 มื้อตามปกติ
(ถ้าปวดมากในระยะแรก ควรรับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย เช่นข้าวต้ม)
อย่ารับประทานอาหารรสเผ็ดจัด เปรี้ยวจัด
ไม่จำเป็นต้องแบ่งรับประทานอาหารทีละน้อยแต่บ่อยมื้อขึ้นดังที่เคยแนะนำกันในอดีต เพราะยิ่งรับประทานมากนอกจากจะทำให้น้ำหนักขึ้นแล้ว (ต้องคอยลดความอ้วนอีก) ยังอาจจะทำให้อาการกำเริบได้ง่ายอีกด้วยคนที่เป็นโรคกระเพาะบางครั้งอาจรู้สึกหิวง่ายก็ควรรับประทาน ยาลด กรดแทนนมหรือข้าว
ค. งดเหล้า เบียร์ ชา กาแฟ เครื่องดื่มชูกำลัง น้ำอัดลม และบุหรี่เพราะจะทำให้โรคกำเริบได้
ง. ห้ามรับประทานยาแอสไพริน ยาแก้ปวดข้อ ยาที่เข้าเตรียรอยด์
(ในรายที่จำเป็นต้องใช้ยาเหล่านี้รักษาโรคอื่น ควรปรึกษาแพทย์)
จ. คลายเครียดด้วยการออกกำลังกาย (เช่น วิ่งเหยาะ เดินเร็ว ขี่จักรยาน ว่ายน้ำ รำมวยจีน โยคะ เต้นแอโรบิก) หรือทำสมาธิ สวดมนต์ ไหว้พระ หรือเจริญภาวนาตามศาสนาที่ตัวเองนับถือ คนที่เป็นโรคกระเพาะเนื่องจากความเครียด การปฏิบัติในข้อนี้ จะมีส่วนช่วยให้โรคหายขาดได้
ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร คือ
1. ขมิ้นชัน
ชื่อวิทยาศาสตร์ Curcuma longa Linn., Curcuma domesticaVal.
ชื่อท้องถิ่น ขมิ้น (ทั่วไป) ขมิ้นแกง ขมิ้นหยวก ขมิ้นหัว (เชียงใหม่) ขี้มิ้น หมิ้น(ใต้)
ตายอ (กะเหรี่ยง-กำแพงเพชร) สะยอ (กะเหรี่ยง-แม่ฮ่องสอน)
ลักษณะของพืช ขมิ้นมีถิ่นกำเนิดในเขตร้อนของทวีปเอเชีย ประเทศอินเดีย จีน และหมู่เกาะ อินเดียตะวันออกปัจจุบันมีการปลูกเป็นพืชเศรษฐกิจ อย่างแพร่หลายในประเทศเขตร้อน ขมิ้นเป็นพืชล้มลุก มีเหง้าอยู่ใต้ดิน อายุหลายปี ถึงฤดูแล้งใบจะโทรม เมื่อย่างเข้าฤดูฝนเริ่มแตกใบขึ้นมาใหม่เนื้อในของเหง้ามีสีเหลืองเข้มจนถึงสีแสดเข้ม มีกลิ่นหอมเฉพาะ ใบเป็นใบเดี่ยว ก้านยาว ใบเหนียว เรียวและปลายแหลม กว้าง 12-15 ซม. ยาว 30-40 ซม. ดอกเป็นดอกช่อ มีก้านช่อแทงจากเหง้าโดยตรง ดอกย่อยสีเหลืองอ่อน กลีบประดับสีเขียวอมชมพู ดอกบานครั้งละ 3-4 ดอก ผลรูปกลม มี พู
ส่วนที่ใช้เป็นยา เหง้าแห้ง
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บเมื่อขมิ้นอายุราว 7-9 เดือน
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด กลิ่นหอมแก้โรคผิวหนัง ผื่นคัน ขับลม ท้องร่วง
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ เหล้าขมิ้นมีน้ำมันหอมระเหยประมาณร้อยละ 22-6 เป็นน้ำมันสีเหลือง มีสารหลายชนิด คือ Turmerone, Zingiberene, Borneol เป็นต้น และมีสารสีเหลืองส้ม คือ เคอร์ควิมิน (Curmumin) ประมาณร้อยละ 1.8-5.2
การศึกษาทางเภสัชวิทยาพบว่า ขมิ้นมีฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะ มีฤทธิ์ลดการอักเสบ ขับน้ำดี และฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อเรียบได้ โดยที่ฤทธิ์ป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเกิดจากสารเคอร์คิวมิน ขนาด 50 มิลลิกรัม/กิโลกรัม ทำให้เกิดการกระตุ้น การหลั่ง mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ แต่ถ้าใช้ขนาดสูงอาจทำให้เกิดแผลในกระเพาะได้ ส่วนฤทธิ์ลดการอักเสบเกิดจากสารเคอร์คิวมินและน้ำมันหอมระเหย ทำให้ขมิ้นมีผลช่วยบรรเทาอาการปวดท้องเนื่องจากแผลในกระเพาะได้
ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์ และคณะ (2529) ศึกษาผลของยาแคปซูลขมิ้นในผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องเนื่องจากแผลเปื่อยในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กดูโอนินั่ม โดยดูการเปลี่ยนแปลงของเยื่อบุผนังภายในกระเพาะอาหารและสำไส้เล็กดูโอนินั่ม ด้วยกล้องส่องตรวจ (Endoscope) ในผู้ป่วยชาย 8 ราย หญิง 2 ราย อายุระหว่าง 16-60 ปีผู้ป่วยที่มีแผลเปื่อย10 ราย นี้เป็น D.U. 2 ราย มีขนาดแผล 0.5-1.5 ซม. โดยให้รับประทานขมิ้นชันขนาดแคปซูลละ 250 มก.ครั้งละ 2 แคปซูล ก่อนอาหาร 3 มื้อ ครึ่งถึงหนึ่งชั่วโมง และก่อนนอน ปรากฏผลว่า แผลของผู้ป่วยหายเรียบร้อยดี 6 ราย คิดเป็น 60 % ในระยะเวลา 4-12 สัปดาห์ ในจำนวนนี้ถ้าแสดงผลการหายของแผลเรียบร้อยภายในเวลา 4 สัปดาห์ ได้เป็น 50%
อัญชลี อินทนนท์ และคณะ (2529) ได้ทำการทดลองใช้ขมิ้นรักษาผู้ป่วยที่มีอาการปวดท้องซึ่งเชื่อว่าเป็นอาการของโรคแผลเปปติค (Peptic Ulcer) โดยเปรียบเทียบกับการใช้ไตรซิลิเกต (Trisiligate) ซึ่งเป็นยาลดกรดขององค์การเภสัชกรรม ได้ผลดังนี้ คืออาการดีขึ้นมากหลังรักษาด้วยขมิ้นชัน ครบ 12 สัปดาห์ จำนวน 15 ราย คิดเป็น 60% หายปกติ 1 ราย คิดเป็น 58 % อาการดีขึ้นมาก หลังรักษาด้วยไตรซิลิเกต 5 ราย คิดเป็น 50 % หายปกติ 4 ราย คิดเป็น 40 %
ขมิ้นเป็นสมุนไพรที่มีความปลอดภัยสูง การศึกษาพบว่าขมิ้น ไม่มีพิษเฉียบพลันและไม่มีผลในด้านก่อกลายพันธุ์ และในการวิจัยทางคลินิกของ ฉวีวรรณ พฤกษ์สุนันท์และคณะ (2529) ได้ศึกษาเคมีเลือดผู้ป่วยที่รับการ ทดลองจำนวน 30 คน ก่อนและหลังรับประทานขมิ้นติดต่อกันนาน 4 สัปดาห์ ไม่พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงในผลเคมีเลือดที่บ่งถึงการตรวจหน้าที่ตับและไต และฮีมาโตโลยี ส่วนผลแทรกแซง พบอาการท้องผูก ราย แพ้ยามีผื่นที่ผิวหนัง 2 ราย
วิธีใช้
ขมิ้นใช้รักษาโรคกระเพาะอาหารโดยการนำเหง้าแก่สดล้างให้สะอาด (ไม่ต้องปอกเปลือก) หั่นเป็นชิ้นบาง ๆ ตากแดดจัดสัก 1-2 วัน บดให้ละเอียด ผสมกับน้ำผึ้งปั้นเป็นลูกกลอน หรือบรรจุแคปซูล เก็บไว้ในขวดสะอาดและมิดชิด รับประทานครั้งละ 500 มิลลิกรัม วันละ4 ครั้ง หลังอาหารและก่อนนอน
บางคนรับประทานขมิ้นแล้วอาจมีอาการแพ้ขมิ้น เช่นคลื่นไส้ ท้องเสีย ปวดหัวนอนไม่หลับ เป็นต้น หากมีอาการดังกล่าวให้หยุดยาและเปลี่ยนไปใช้ยาชนิดอื่นแทน
ยาสมุนไพรที่ใช้รักษาโรคกระเพาะอาหาร
2 กล้วย
ชื่อวิทยาศาสตร์ Musa sapientum Linn.
ชื่อท้องถิ่น -
ลักษณะพืช กล้วยเป็นพืชเมืองร้อนและเป็นพืชที่คุ้นเคยกับคนไทยมาช้านาน เพราะเกือบทุกส่วนของกล้วยมีประโยชน์ต่อชีวิตประจำวัน กล้วยเป็นพืชล้มลุกที่มีลำต้นตรง รูปร่างกลม มีกาบใบหุ้มซ้อนกัน ใบสีเขียวขนาดใหญ่ ขอบใบขนานกัน ช่อดอกคือหัวปลี มีลักษณะห้อยหัวลงยาว 1-2 ศอก มีดอกย่อยออกเป็นแผง กลายเป็นผลติดกัน เรียกว่าหวี เรียงซ้อนและติดกันที่แกนกลางเรียกว่าเครือส่วนที่ใช้เป็นยา ผลกล้วยดิบหรือผลห่าม
ช่วงเวลาที่เก็บเป็นยา เก็บผลกล้วยช่วงเปลือกเป็นสีเขียว ต้นกล้วยจะให้ผลเมื่ออายุ 8-12 เดือน
รสและสรรพคุณยาไทย รสฝาด ฤทธิ์ฝาดสมาน
ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ กล้วยดิบประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิด คือ Tannin , Serotonin, Norepinephnine, Dopamin และ Catecholamine สารเหล่านี้อยู่ในเนื้อและเปลือกของกล้วยสำหรับกล้วยสุกมี pectin , Essential oil, Norepinephrine และกรดอินทรีย์หลายชนิด
ปี คศ. 1964 Best และคณะ ได้พบว่าผงกล้วยดิบมีฤทธิ์รักษาแผลในกระเพาะหนูขาว ซึ่งเกิดจากการให้ aspirin โดยสามารถใช้ทั้งป้องกันและรักษาโรคแผลในกระเพาะอาหารได้ ในการป้องกันจะใช้ขนาด 5 กรัม ส่วนการรักษาใช้ขนาด 7กรัม และถ้าเป็นสารสกัดด้วยน้ำจะมีฤทธิ์แรงเป็น 800 เท่าของผงกล้วย ผู้วิจัยเข้าใจว่ากล้วยดิบไปกระตุ้นให้เซลล์ในเยื่อบุกระเพาะหลั่งสารพวก mucin ออกมาเคลือบกระเพาะ กล้วยจะดีกว่ายาพวก Aluminium hydroxide, Cimetidine หรือ Postaglandin ซึ่งมีฤทธิ์เฉพาะป้องกันการเกิดแผลในกระเพาะเท่านั้น แต่ไม่สามารถรักษาแผลที่เกิดแล้วได้
วิธีใช้
นำกล้วยน้ำว้าดิบฝานเป็นแว่นตากแดดประมาณ 2 วัน หรืออบให้แห้งในอุณหภูมิ 50 องศาเซลเซียส และบดเป็นผง วิธีรับประทานโดยการนำผงกล้วยดิบครั้งละครึ่งถึงหนึ่งผล ชงน้ำหรือผสมกับน้ำผึ้ง 1 ช้อนโต๊ะ ดื่มหรือนำผงกล้วยดิบมาปั้นลูกกลอน รับประทานครั้งละ 4 เม็ด วันละ 4 ครั้ง ก่อนอาหาร และก่อนนอน รับประทานแล้วอาจมีอาการท้องอืดเฟ้อ ป้องกันได้โดยใช้ร่วมกับยาขับลม เช่น น้ำขิง พริกไทย เป็นต้นสำนักงานคณะกรรมการการสาธารณสุขมูลฐาน, “ยาสมุนไพร สำหรับงานสาธารณสุขมูลฐาน”
27.9.12
ภัยเงียบที่คุกคามมากับความเครียด
ภัยเงียบที่คุกคามมากับความเครียด
เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการต่างๆ ที่นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย
ในยุคที่เศรษฐกิจประสบกับภาวะวิกฤตแบบนี้ ความเครียด ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนแตกต่างกันไปตามสภาพหน้าที่การงานและภาวะทางสังคม หลายคนไม่ทราบว่าตนเองมีความเครียดฝังอยู่ลึกๆ ในตัว จนกลาย
เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
1. Acute stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมาทันที ซึ่งความเครียดนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้
2. Chronic stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาจากการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความหน้าเบื่อจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านายที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆโดยที่คุณไม่รู้สึกตัวได้แต่มันจะเป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกแต่คุณก็ยังปฏิเสธว่าคุณไม่ได้เครียด
ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่ผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น
แต่หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ ๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่นหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย ,กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายไม่สามารถขับพิษได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น ,สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ
นอกจากนี้ หนึ่งในอาการ ทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อคุณเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกร็งตัวมากกว่าปกติ คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ และกล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านื้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้ายทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆบนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน
เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา,ปากอาจกระตุกด้วย
ฉะนั้นจึงควรดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียวเพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกาย หลังฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับ adrenaline นั่นคือ Endorphine ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อนก็อาจผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอเพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 อาคารไลฟ์ เซ็นเตอร์ ตึก Q House สาทร โทร. 02-677-7166-7
เป็นสาเหตุของกลุ่มอาการต่างๆ ที่นำไปสู่โรคภัยไข้เจ็บมากมาย
ในยุคที่เศรษฐกิจประสบกับภาวะวิกฤตแบบนี้ ความเครียด ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับทุกคนแตกต่างกันไปตามสภาพหน้าที่การงานและภาวะทางสังคม หลายคนไม่ทราบว่าตนเองมีความเครียดฝังอยู่ลึกๆ ในตัว จนกลาย
เพ็ญพิชชากร แสนคำ นักกายภาพบำบัด ผู้เชี่ยวชาญด้านการปรับโครงสร้างร่างกาย จากสถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ (ARIYA WELLNESS CENTER) กล่าวว่า ความเครียดแบ่งออกได้ 2 ชนิด ได้แก่
1. Acute stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นในทันทีและร่างกายก็จะตอบสนองโดยการแสดงออกมาทันที ซึ่งความเครียดนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วครู่ เกิดผลกระทบต่อสภาพร่างกายและจิตใจไม่นาน แต่ถ้าบ่อยก็จะส่งผลเป็นความเครียดแบบเรื้อรังได้
2. Chronic stress เป็นความเครียดที่เกิดขึ้นซ้ำๆ กับภาวะร่างกายและจิตใจทุกวันๆ อย่างเลี่ยงไม่ได้ เช่น ปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่รุมเร้าคนในสังคมปัจจุบัน ความเครียดจากปัญหาจากการทำงานที่เป็นภาวะที่ไม่อาจเลี่ยงได้ ความหน้าเบื่อจากการทำงาน จากเพื่อนร่วมงาน จากเจ้านายที่ไม่ได้ดังใจ แต่ไม่มีทางเลือกและไม่อาจจะแสดงออกมาได้ ฯลฯ ความเครียดชนิดนี้จะค่อยๆ บั่นทอนสุขภาพร่างกายและจิตใจอย่างช้าๆโดยที่คุณไม่รู้สึกตัวได้แต่มันจะเป็นการฝังลึกลงในจิตใต้สำนึกแต่คุณก็ยังปฏิเสธว่าคุณไม่ได้เครียด
ทุกครั้งที่เกิดภาวะเครียด โดยเฉพาะความเครียดเรื้อรังนั้นมีผลโดยตรงต่อการทำงานของร่างกาย ทุกระบบจะทำงานหนักมากขึ้นอย่างปฏิเสธไม่ได้ กลไกลที่ผลต่อร่างกายก็คือ เมื่อภายใต้จิตสำนึกของคุณเครียด ร่างกายจะหลั่งฮอร์โมนชนิดหนึ่งเรียกว่า อะดรีนาลิน (Adrenaline) ผลของฮอร์โมนชนิดนี้กระทบและเป็นผลเสียต่อร่างกายอย่างมาก เมื่อร่างกายมีการหลั่งจะทำให้หลอดเลือดในร่างกายบีบตัว การไหลเวียนของเลือดไปสู่อวัยวะต่างๆ น้อยลง หัวใจต้องทำงานหนักบีบตัวสูงขึ้น ความดันเพิ่มขึ้น
แต่หากมีภาวะไขมันในหลอดเลือดก็อาจเสี่ยงต่อการเป็นเลือดอุดตัน ภาวะขาดเลือดในอวัยวะสำคัญ ๆ เช่น หัวใจ สมอง เป็นต้น การทำงานของอวัยวะต่างๆ ด้อยประสิทธิภาพลง เช่นหายใจไม่อิ่ม เหนื่อยง่าย ,กระเพาะอาหารหลั่งกรดออกมามาก ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ท้องผูก ร่างกายไม่สามารถขับพิษได้ ตับและไตก็ต้องทำงานหนักขึ้น ,สมรรถภาพทางเพศลดลง ปวดเมื่อยตามร่างกาย หงุดหงิด ไม่มีสมาธิ ระบบภายในร่างกายต้องทำงานสูงเกิดการดึงอินซูลินในระบบเลือดมาใช้ กระตุ้นให้กินมาก เกิดโรคอ้วนได้ ฯลฯ
นอกจากนี้ หนึ่งในอาการ ทางร่างกายที่บ่งบอกได้ง่ายที่สุดคือ อาการของระบบกระดูกกล้ามเนื้อ เมื่อคุณเครียดฮอร์โมนที่เป็นตัวร้ายจะเริ่มคุกคาม ทำให้กล้ามเนื้อของคุณเกร็งตัวมากกว่าปกติ คุณจะรู้สึกเมื่อยล้าในร่างกายอย่างบอกไม่ถูก ไม่กระปรี้กระเปร่า ง่วงนอน หาวบ่อยๆ และกล้ามเนื้อส่วนที่มีปัญหามากที่สุดก็คือ กล้ามเนื้อบริเวณบ่าและคอ กล้ามเนื้อเหล่านื้จะเป็นมัดเล็กๆ เป็นริ้วๆ เกาะตามขอบของท้ายทอย เป็นทางผ่านของหลอดเลือดที่เลี้ยงสมอง และเลี้ยงอวัยวะต่างๆบนศีรษะ บริเวณนี้จะเตือนคุณได้มากที่สุด คุณจะปวดคอ ปวดบ่า บางรายร้าวไปที่หลัง รอบสะบัก หายใจแล้วเสียวในช่องอก มากขึ้นเรื่อยขนาดปวดร้าวขึ้นศีรษะ เหมือนเป็นไมเกรน
เนื่องจากกล้ามเนื้อหดตัวมากเลือดไปเลี้ยงสมองไม่พอ ตา,ปากอาจกระตุกด้วย
ฉะนั้นจึงควรดูแลให้ถูกทาง คือทำกล้ามเนื้อให้มีความยืดหยุ่นดี กระดูกควรอยู่ในแนวที่ปกติ เส้นเลือด เส้นประสาท ระบบขับสารเสีย ระบบน้ำเหลืองไหลเวียนได้ดี ทั้งนี้ไม่ใช่แค่การไปคลายที่คออย่างเดียวเพราะกล้ามเนื้อเกี่ยวพันกันอยู่ทุกส่วน ควรปรับสมดุลให้โครงสร้างร่างกาย เพราะถ้าปรับสภาวะให้โครงสร้างสมดุลแล้วระบบเลือด น้ำเหลือง เส้นประสาทจะไหลเวียนได้เต็มที่ มีผลให้ร่างกาย หลังฮอร์โมนชนิดดีที่จะทำงานตรงกันข้ามกับ adrenaline นั่นคือ Endorphine ซึ่งเป็นสารสุขให้กับร่างกาย หากต้องการดูแลด้วยตนเองก่อนก็อาจผ่อนคลายด้วยการนวดเบาๆ อบ/ประคบร้อน ไม่ควรทำแรงบริเวณคอเพราะมีเส้นเลือดและกล้ามเนื้อที่สำคัญมาก หากต้องการรักษาก็ต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องของระบบกระดูกกล้ามเนื้อจะดีกว่า ควรหลีกเลี่ยงการใช้ยาเพราะจะส่งผลเสียมากขึ้น
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ สถาบันปรับโครงสร้างร่างกาย อริยะ ตั้งอยู่บริเวณชั้น 1 อาคารไลฟ์ เซ็นเตอร์ ตึก Q House สาทร โทร. 02-677-7166-7
26.9.12
สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
สุขภาพดีด้วยการบริจาคโลหิต
นอกจากความภาคภูมิใจและได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคโลหิตยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย
ร่างกายได้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ กระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานดีขึ้นลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉลียบพลัน ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
โลหิต ประกอบด้วยพลาสมา (เนื้อเหลือง) และเม็ดโลหิต คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว คือ 5 – 6 ลิตร (สำหรับผู้ชาย) และ 4 – 5 ลิตร (สำหรับผู้หญิง) หรือประมาณ 17 -18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดเลือดโลหิต เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดโลหิตแต่ละชนิดมีอายุการทำงาน คือ เม็ดโลหิตแดง มีอายุ 120 วัน เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต มีอายุ 5 -10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเม็ดโลหิตจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูก จึงสร้างเซลล์เม็ดโลหิตชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมดปริมาณโลหิตที่มีในร่างกาย ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายคนเรามีโลหิตปริมาณ 17 -18 แก้วน้ำ ร่างกายต้องการใช้เพียง 15 – 16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 2 – 3 แก้วน้ำ สามารถบริจาคให้กับผู้อื่นได้ทุก 3 เดือน
ดังนั้นการบริจาคโลหิต ซึ่งนำโลหิตออกจากร่างกายประมาณ 350 – 450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำโลหิตสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างโลหิตขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป และที่สำคัญทำให้เกิดประโยชน์กับผู้บริจาคโลหิตหลาย ๆ อย่างด้วยกัน อาทิ
· ร่างกายได้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดโลหิตแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดโลหิตขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดโลหิตซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
· กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ให้กับไขกระดูกได้ทำงานได้ดีขึ้น
· ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟีนแลนด์ พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากการบริจาคโลหิตช่วยใหการสะสมธาตุเหล็กร่างกายลดลง เพราะเจ้าตัวธาตุเหล็กนี้ไม่ทำให้ไขมันทำปฏิกิริยากับอ๊อกซิเจน ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้การบริจาคโลหิตช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลดด้วยนั่นเอง การบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้ผู้บริจาคโลหิตมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
· ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
- ทำให้ทราบหมู่โลหิต ทั้งระบบ A B O และระบบ Rh
- โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการเหมือนกับการที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี , ซิฟิลิสส และเอดส์
- ได้รับการตรวจสารเคมีในโลหิต (บริการตรวจให้ปีละ 1 ครั้ง) แจ้งความจำนงที่แพทย์ผู้ตรวจวัดความดันโลหิต ในวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 08.00 – 10.00 น. โดยต้องงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืนมาก่อน
เมนูอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เหมาะสมสำหรับผู้บริจาคโลหิต
แกงจืดเลือดหมู
ผัดถั่วงอกกับเลือดหมู และตับหมู
ตับผัดขิง
แกงไก่กับมันเทศ
แกงคั่วสับปะรดกับหอยแมลงภู่แห้ง
แกงเผ็ดฟักทองกับเลือดหมู
แกงคั่วยอดมะพร้าวกับเลือดหมู
แกงเผ็ดฟักกับเลือดหมู
ผัดเผ็ดถั่วฝักยาวใส่ตับ
อาหารจานเดียว
ก๋วยจั๊บ
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูและตับ
ก๋วยเตี๋ยวเครื่องในวัว
ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้วตับ
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ข้าวผัดเบญจรงค์
อย่าให้การบริจาคโลหิตเป็นการตรวจโลหิตในกรณีไม่มั่นใจในโลหิตของท่าน
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2252-1637 , 0-2263-9600-99 ต่อ 1770, 1771, 1760, 1761
ที่มา : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
นอกจากความภาคภูมิใจและได้ช่วยเหลือผู้อื่นแล้ว เชื่อไหมว่าการบริจาคโลหิตยังช่วยให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงด้วย
ร่างกายได้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ กระตุ้นให้ไขกระดูกทำงานดีขึ้นลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉลียบพลัน ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
โลหิต ประกอบด้วยพลาสมา (เนื้อเหลือง) และเม็ดโลหิต คิดเป็น 8 เปอร์เซ็นต์ ของน้ำหนักตัว คือ 5 – 6 ลิตร (สำหรับผู้ชาย) และ 4 – 5 ลิตร (สำหรับผู้หญิง) หรือประมาณ 17 -18 แก้วน้ำ ไขกระดูกเป็นอวัยวะตั้งต้นที่ทำหน้าที่สร้างเม็ดโลหิต 3 ชนิด ได้แก่ เม็ดโลหิตแดง เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดเลือดโลหิต เพื่อทำหน้าที่แตกต่างกันไปในร่างกาย
เม็ดโลหิตแต่ละชนิดมีอายุการทำงาน คือ เม็ดโลหิตแดง มีอายุ 120 วัน เม็ดโลหิตขาว และเกล็ดโลหิต มีอายุ 5 -10 วัน เมื่อถึงเวลาที่กำหนดเม็ดโลหิตจะถูกทำลายและขับถ่ายออกมาในรูปของเหงื่อปัสสาวะ และอุจจาระ หลังจากนั้นไขกระดูก จึงสร้างเซลล์เม็ดโลหิตชุดใหม่ขึ้นมาทดแทนได้โดยไม่มีวันหมดปริมาณโลหิตที่มีในร่างกาย ถูกสร้างขึ้นมาให้เกินกว่าความต้องการใช้ที่แท้จริง เพราะร่างกายคนเรามีโลหิตปริมาณ 17 -18 แก้วน้ำ ร่างกายต้องการใช้เพียง 15 – 16 แก้วน้ำเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 2 – 3 แก้วน้ำ สามารถบริจาคให้กับผู้อื่นได้ทุก 3 เดือน
ดังนั้นการบริจาคโลหิต ซึ่งนำโลหิตออกจากร่างกายประมาณ 350 – 450 มิลลิลิตร จึงเป็นการนำโลหิตสำรองออกมาโดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใด ๆ แก่ร่างกาย เพราะไขกระดูกจะสร้างโลหิตขึ้นมาทดแทนปริมาณที่ถูกถ่ายเทออกไป และที่สำคัญทำให้เกิดประโยชน์กับผู้บริจาคโลหิตหลาย ๆ อย่างด้วยกัน อาทิ
· ร่างกายได้สร้างเม็ดโลหิตใหม่ ๆ ซึ่งแข็งแรงและทำงานได้มีประสิทธิภาพกว่า ทำให้เม็ดโลหิตแดงลำเลียงออกซิเจนได้เต็มที่ เม็ดโลหิตขาวทำลายสิ่งแปลกปลอมได้ดีขึ้น และเกล็ดโลหิตซ่อมแซมรอยฉีกขาดในร่างกายได้อย่างมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
· กระตุ้นการทำงานของไขกระดูก เปรียบเสมือนการออกกำลังกาย ให้กับไขกระดูกได้ทำงานได้ดีขึ้น
· ลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน การวิจัยในประเทศฟีนแลนด์ พบว่า การบริจาคโลหิตช่วยลดความเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลันในเพศชายได้ถึง 88 เปอร์เซ็นต์ การสูญเสียโลหิตอย่างสม่ำเสมอจากการบริจาคโลหิตช่วยใหการสะสมธาตุเหล็กร่างกายลดลง เพราะเจ้าตัวธาตุเหล็กนี้ไม่ทำให้ไขมันทำปฏิกิริยากับอ๊อกซิเจน ส่งผลให้หลอดเลือดตีบและอุดตันได้การบริจาคโลหิตช่วยให้ร่างกายลดภาวการณ์สะสมธาตุเหล็ก ซึ่งเท่ากับลดความเสี่ยงโรคหัวใจลดด้วยนั่นเอง การบริจาคโลหิตทุก 3 เดือน จึงเป็นอีกหนึ่งโอกาสที่จะช่วยให้ผู้บริจาคโลหิตมีสุขภาพดีขึ้นได้ด้วยตนเอง
· ได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุก 3 เดือน
- ทำให้ทราบหมู่โลหิต ทั้งระบบ A B O และระบบ Rh
- โลหิตทุกยูนิตที่ได้รับบริจาค ต้องผ่านกระบวนการคัดกรองเชื้อต่าง ๆ ในห้องปฏิบัติการเหมือนกับการที่ผู้บริจาคโลหิตได้รับการตรวจหาเชื้อไวรัสตับอักเสบ บี ไวรัสตับอักเสบ ซี , ซิฟิลิสส และเอดส์
- ได้รับการตรวจสารเคมีในโลหิต (บริการตรวจให้ปีละ 1 ครั้ง) แจ้งความจำนงที่แพทย์ผู้ตรวจวัดความดันโลหิต ในวันจันทร์ ศุกร์ เวลา 08.00 – 10.00 น. โดยต้องงดอาหารและน้ำหลังเที่ยงคืนมาก่อน
เมนูอาหารที่อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก เหมาะสมสำหรับผู้บริจาคโลหิต
แกงจืดเลือดหมู
ผัดถั่วงอกกับเลือดหมู และตับหมู
ตับผัดขิง
แกงไก่กับมันเทศ
แกงคั่วสับปะรดกับหอยแมลงภู่แห้ง
แกงเผ็ดฟักทองกับเลือดหมู
แกงคั่วยอดมะพร้าวกับเลือดหมู
แกงเผ็ดฟักกับเลือดหมู
ผัดเผ็ดถั่วฝักยาวใส่ตับ
อาหารจานเดียว
ก๋วยจั๊บ
ก๋วยเตี๋ยวราดหน้าหมูและตับ
ก๋วยเตี๋ยวเครื่องในวัว
ก๋วยเตี๋ยวผัดซีอิ้วตับ
ก๋วยเตี๋ยวผัดไทย
ข้าวผัดเบญจรงค์
อย่าให้การบริจาคโลหิตเป็นการตรวจโลหิตในกรณีไม่มั่นใจในโลหิตของท่าน
ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ กรุงเทพฯ 10330
โทรศัพท์ 0-2252-1637 , 0-2263-9600-99 ต่อ 1770, 1771, 1760, 1761
ที่มา : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
25.9.12
โลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative)
โลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative)
บริจาคอะไรได้บ้าง
โลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative) คือ หมู่โลหิตที่ไม่มีแอนติเจน ดี (Antigen-D) อยู่ที่ผิวของเม็ดโลหิตแดง ในคนไทยพบว่ามีหมู่โลหิตนี้เพียง 0.3% หรือใน 1,000 คน จะพบเพียง 3 คนเท่านั้น ซึ่งเรามักเรียกว่า “หมู่โลหิตหายาก” หรือ “โลหิตหมู่พิเศษ” นั่นเอง ฉะนั้น ผู้ที่มีหมู่โลหิตระบบนี้ต้องสนใจและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษบริจาคอะไรได้บ้าง (Rh-negative)
เนื่องจากโลหิตหมู่พิเศษอาร์เอชลบ (Rh-negative) พบน้อยมากในคนไทย คือใน 1,000 คน จะพบเพียง 3 คนเท่านั้น จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการรับบริจาคโลหิตหมู่พิเศษ เพื่อให้โลหิตและส่วนประกอบโลหิตเพียงพอ ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ นอกจากจะรับบริจาคโลหิตหมู่พิเศษในรูปโลหิตรวม (whole blood) แล้ว ยังมีการรับบริจาคโลหิตเฉพาะส่วน ได้แก่ รับบริจาคเฉพาะเกล็ดโลหิตและรับบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดงเตรียมไว้เพื่อจ่ายให้กับผู้ป่วยตามความจำเป็นที่ใช้ในการรักษาเฉพาะโรค
การบริจาคเกล็ดโลหิต (SINGLE DONOR PLATELETS)
เกล็ดโลหิต เป็นเซลล์เม็ดโลหิตชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กมาก แต่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างยิ่ง เพราะช่วยทำให้โลหิตแข็งเป็นลิ่มและอุดรอยฉีกขาดของเส้นโลหิตเวลาที่ถูกของมีคมบาด โดยปกติเกล็ดประมาณ 1 – 5 แสน / 1 ลูกบาศก์มิลลิลิตร ถ้ามีภาวะเกล็ดโลหิตต่ำมากจะทำให้เกิดโลหิตออกง่าย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกล็ดโลหิตต่ำ เช่น โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว โรคที่เกี่ยวกับไขกระดูกไม่ทำงานโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น
ปัจจัยมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้เกล็ดโลหิตในการรักษาซึ่งศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จะเปิดรับบริจาคเกล็ดโลหิตเฉพาะที่มีการร้องขอจากโรงพยาบาลเท่านั้น มิได้เปิดรับบริจาคทั่วไป เหมือนรับบริจาคโลหิตหรือพลาสมา ทั้งนี้เพราะเกล็ดโลหิตเมื่อเจาะออกมานอกร่างกายแล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 5 วัน ตามลักษณะและกรรมวิธีในการเจาะเก็บ และต้องรักษาไว้ในตู้ซึ่งควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส พร้อมกับมีการเขย่าเบา ๆ ตลอดเวลา
การรับบริจาคเกล็ดโลหิต จะใช้เครื่องมือเฉพาะที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจากแขนข้างหนึ่ง ผ่านเข้าเครื่องแยกอัตโนมัติ เพื่อแยกเกล็ดโลหิตออกจากเม็ดโลหิตแดง เมื่อได้เกล็ดโลหิตแล้ว ส่วนประกอบอื่น ๆ จะถูกคืนกลับเข้าสู่ร่างกาย ระยะเวลาในการบริจาคเกล็ดโลหิต ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
ข้อกำหนดพิเศษสำหรับผู้บริจาคเกล็ดโลหิต
- หมู่โลหิตจะต้องตรงกับผู้ป่วยที่ต้องการเกล็ดโลหิต
- เส้นโลหิตตรงข้อพับแขนชัดเจน
- ไม่รับประทานยาแก้วปวดแอสไพริน ในระยะเวลา 5 วัน ก่อนบริจาค
- ควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตสม่ำเสมอ
การบริจาคเกล็ดโลหิตไม่ได้ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ผู้บริจาคสามารถปฏิบัติการกิจการงานได้ตามปกติยกเว้นในกรณีจำเป็น การบริจาคเกล็ดโลหิตอาจให้บริจาคได้ทุก 3 วัน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และหลังจากบริจาคเกล็ดโลหิตไปแล้ว 1 เดือน สามารถบริจาคโลหิตได้ตามปกติ
การบริจาคเม็ดโลหิตแดง (SINGLE DONOR RED CELL)
การบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดง คือ การรับบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดง ได้จำนวน 2 ยูนิต จากผู้บริจาครายเดียว (Two unit Red Cell) ด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติ (Blood cell separator) โดยเครื่องดังกล่าวจะทำการแยกเก็บเฉพาะเม็ดโลหิตแดงได้ และคืนส่วนประกอบโลหิต
อื่น ๆ เช่น น้ำเหลือง เม็ดโลหิตขาว เกล็ดโลหิต เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะได้รับการชดเชยส่วนที่บริจาคออกมาด้วยน้ำเกลือ 400 มิลลิลิตร ให้กับผู้บริจาคเท่านั้น ใช้เวลาบริจาค 30 นาที
คุณสมบัติของผู้บริจาคเม็ดโลหิตแดง
คุณสมบัติเบื้องต้น เช่นเดียวกับผู้บริจาคโลหิตทั่วไป เช่น อายุระหว่าง 17 – 60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาต่าง ๆ สุขภาพแข็งแรงสำหรับคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากการบริจาคโลหิตทั่วไป ดังนี้
- ชาย น้ำหนักมากว่า 59 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 155 เซนติเมตร
- หญิง น้ำหนักมากกว่า 68 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 165 เซนติเมตร
- มีค่าความเข้มข้นโลหิต Hct มากกว่า 40%
- มีค่า Body Index คือ ค่าอัตรส่วนระหว่างน้ำหนักต่อเพื้นที่ผิวน้อยกว่า 25
- ใช้เวลาบริจาค 30 นาที
ประโยชน์ของการบริจาคเม็ดโลหิตแดง
1. สามารถเตรียมเม็ดโลหิตได้จำนวนยูนิตมากขึ้น จากผู้บริจาคโลหิตที่มีหมู่โลหิตหายาก หรือไม่มีผู้บริจาคมากเพียงพอที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วย ถ้าให้ผู้บริจาคโลหิตบริจาคแบบปกติ
2. สามารถเตรียมโลหิตสำรองไว้สำหรับการผ่าตัดตนเองครั้งเดียวได้ 2 ถุง
3. เป็นโลหิตที่เตรียมจากผู้บริจาคโลหิตคนเดียว เป็นการลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อจากการรับโลหิตจากผู้บริภาคหลาย ๆ คน
ชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative Club)
เนื่องจากผู้ที่มีหมู่โลหิตอาร์เอชลบ (Rh-negative) ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยจึงเป็นปัญหาอย่างมาก ในการจัดหาโลหิตหมู่พิเศษดังกล่าวนี้ให้แก่ผู้ป่วย เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้มักประสบกับปัญหาในด้านของการจัดหาผู้บริจาคหรือไม่ก็จัดหาได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative Club) ขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532 จนปัจจุบัน
ถ้าหากท่านมีโลหิตหมู่พิเศษ ขอเชิญสมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิหมู่พิเศษ ได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทยในวันและเวลาราชการหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2263-9699-99 ต่อ 1753 หรือ 0-2255-4567
สำหรับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดติดต่อแจ้งชื่อและที่อยู่ได้ที่ ธนาคารเลือดโรงพยาบาลประจำจังหวัดในวันและเวลาราชการเช่นกัน หรือรับทราบข้อมูลความรู้เรื่องการบริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative) ทางอินเตอร์เน็ท www.redcross.or.th www.rh-negative.com E-mail : blood@.redcross.or.th
สมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษจะได้รับ
- บัตรประจำตัวสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ สำหรับพกติดตัวเพื่อให้ทราบว่าเป็นผู้ที่มีโลหิตหมู่พิเศษอาร์เอชลบ (Rh-negative) หากมีเหตุจำเป็นต้องรับโลหิตในการรักษาแพทย์จะทราบได้ทันทีและให้โลหิตได้อย่างถูกต้อง
- ได้รับ “สารชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ” อย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน ซึ่งท่าน จะได้รับความรู้เรื่องหมู่โลหิตพิเศษ การดูแลสุขภาพ
- ได้รับเชิญให้ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ประจำปีของชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษการอภิปราย การบรรยายที่เป็นความรู้ด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษและครอบครัว
ที่มา : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
บริจาคอะไรได้บ้าง
โลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative) คือ หมู่โลหิตที่ไม่มีแอนติเจน ดี (Antigen-D) อยู่ที่ผิวของเม็ดโลหิตแดง ในคนไทยพบว่ามีหมู่โลหิตนี้เพียง 0.3% หรือใน 1,000 คน จะพบเพียง 3 คนเท่านั้น ซึ่งเรามักเรียกว่า “หมู่โลหิตหายาก” หรือ “โลหิตหมู่พิเศษ” นั่นเอง ฉะนั้น ผู้ที่มีหมู่โลหิตระบบนี้ต้องสนใจและให้ความสำคัญเป็นพิเศษ
ผู้มีโลหิตหมู่พิเศษบริจาคอะไรได้บ้าง (Rh-negative)
เนื่องจากโลหิตหมู่พิเศษอาร์เอชลบ (Rh-negative) พบน้อยมากในคนไทย คือใน 1,000 คน จะพบเพียง 3 คนเท่านั้น จำเป็นต้องนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ในการรับบริจาคโลหิตหมู่พิเศษ เพื่อให้โลหิตและส่วนประกอบโลหิตเพียงพอ ดังนั้น ในปัจจุบันนี้ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ นอกจากจะรับบริจาคโลหิตหมู่พิเศษในรูปโลหิตรวม (whole blood) แล้ว ยังมีการรับบริจาคโลหิตเฉพาะส่วน ได้แก่ รับบริจาคเฉพาะเกล็ดโลหิตและรับบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดงเตรียมไว้เพื่อจ่ายให้กับผู้ป่วยตามความจำเป็นที่ใช้ในการรักษาเฉพาะโรค
การบริจาคเกล็ดโลหิต (SINGLE DONOR PLATELETS)
เกล็ดโลหิต เป็นเซลล์เม็ดโลหิตชนิดหนึ่ง มีขนาดเล็กมาก แต่มีความสำคัญต่อร่างกายอย่างยิ่ง เพราะช่วยทำให้โลหิตแข็งเป็นลิ่มและอุดรอยฉีกขาดของเส้นโลหิตเวลาที่ถูกของมีคมบาด โดยปกติเกล็ดประมาณ 1 – 5 แสน / 1 ลูกบาศก์มิลลิลิตร ถ้ามีภาวะเกล็ดโลหิตต่ำมากจะทำให้เกิดโลหิตออกง่าย นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคที่ทำให้เกล็ดโลหิตต่ำ เช่น โรคมะเร็งเม็ดโลหิตขาว โรคที่เกี่ยวกับไขกระดูกไม่ทำงานโรคติดเชื้อบางชนิด เช่น โรคไข้เลือดออก เป็นต้น
ปัจจัยมีผู้ป่วยเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้เกล็ดโลหิตในการรักษาซึ่งศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จะเปิดรับบริจาคเกล็ดโลหิตเฉพาะที่มีการร้องขอจากโรงพยาบาลเท่านั้น มิได้เปิดรับบริจาคทั่วไป เหมือนรับบริจาคโลหิตหรือพลาสมา ทั้งนี้เพราะเกล็ดโลหิตเมื่อเจาะออกมานอกร่างกายแล้ว จะเก็บไว้ได้ไม่เกิน 5 วัน ตามลักษณะและกรรมวิธีในการเจาะเก็บ และต้องรักษาไว้ในตู้ซึ่งควบคุมอุณหภูมิไว้ที่ 22 องศาเซลเซียส พร้อมกับมีการเขย่าเบา ๆ ตลอดเวลา
การรับบริจาคเกล็ดโลหิต จะใช้เครื่องมือเฉพาะที่ควบคุมด้วยระบบคอมพิวเตอร์ผู้บริจาคเกล็ดโลหิตจากแขนข้างหนึ่ง ผ่านเข้าเครื่องแยกอัตโนมัติ เพื่อแยกเกล็ดโลหิตออกจากเม็ดโลหิตแดง เมื่อได้เกล็ดโลหิตแล้ว ส่วนประกอบอื่น ๆ จะถูกคืนกลับเข้าสู่ร่างกาย ระยะเวลาในการบริจาคเกล็ดโลหิต ใช้เวลาประมาณ 1.30 ชั่วโมง
ข้อกำหนดพิเศษสำหรับผู้บริจาคเกล็ดโลหิต
- หมู่โลหิตจะต้องตรงกับผู้ป่วยที่ต้องการเกล็ดโลหิต
- เส้นโลหิตตรงข้อพับแขนชัดเจน
- ไม่รับประทานยาแก้วปวดแอสไพริน ในระยะเวลา 5 วัน ก่อนบริจาค
- ควรเป็นผู้ที่บริจาคโลหิตสม่ำเสมอ
การบริจาคเกล็ดโลหิตไม่ได้ทำให้ร่างกายอ่อนเพลีย ผู้บริจาคสามารถปฏิบัติการกิจการงานได้ตามปกติยกเว้นในกรณีจำเป็น การบริจาคเกล็ดโลหิตอาจให้บริจาคได้ทุก 3 วัน แต่ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์ และหลังจากบริจาคเกล็ดโลหิตไปแล้ว 1 เดือน สามารถบริจาคโลหิตได้ตามปกติ
การบริจาคเม็ดโลหิตแดง (SINGLE DONOR RED CELL)
การบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดง คือ การรับบริจาคเฉพาะเม็ดโลหิตแดง ได้จำนวน 2 ยูนิต จากผู้บริจาครายเดียว (Two unit Red Cell) ด้วยเครื่องแยกส่วนประกอบโลหิตอัตโนมัติ (Blood cell separator) โดยเครื่องดังกล่าวจะทำการแยกเก็บเฉพาะเม็ดโลหิตแดงได้ และคืนส่วนประกอบโลหิต
อื่น ๆ เช่น น้ำเหลือง เม็ดโลหิตขาว เกล็ดโลหิต เข้าสู่ร่างกาย จากนั้นจะได้รับการชดเชยส่วนที่บริจาคออกมาด้วยน้ำเกลือ 400 มิลลิลิตร ให้กับผู้บริจาคเท่านั้น ใช้เวลาบริจาค 30 นาที
คุณสมบัติของผู้บริจาคเม็ดโลหิตแดง
คุณสมบัติเบื้องต้น เช่นเดียวกับผู้บริจาคโลหิตทั่วไป เช่น อายุระหว่าง 17 – 60 ปี ไม่มีโรคประจำตัว ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาต่าง ๆ สุขภาพแข็งแรงสำหรับคุณสมบัติพิเศษที่แตกต่างจากการบริจาคโลหิตทั่วไป ดังนี้
- ชาย น้ำหนักมากว่า 59 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 155 เซนติเมตร
- หญิง น้ำหนักมากกว่า 68 กิโลกรัม ส่วนสูงมากกว่า 165 เซนติเมตร
- มีค่าความเข้มข้นโลหิต Hct มากกว่า 40%
- มีค่า Body Index คือ ค่าอัตรส่วนระหว่างน้ำหนักต่อเพื้นที่ผิวน้อยกว่า 25
- ใช้เวลาบริจาค 30 นาที
ประโยชน์ของการบริจาคเม็ดโลหิตแดง
1. สามารถเตรียมเม็ดโลหิตได้จำนวนยูนิตมากขึ้น จากผู้บริจาคโลหิตที่มีหมู่โลหิตหายาก หรือไม่มีผู้บริจาคมากเพียงพอที่จะช่วยชีวิตผู้ป่วย ถ้าให้ผู้บริจาคโลหิตบริจาคแบบปกติ
2. สามารถเตรียมโลหิตสำรองไว้สำหรับการผ่าตัดตนเองครั้งเดียวได้ 2 ถุง
3. เป็นโลหิตที่เตรียมจากผู้บริจาคโลหิตคนเดียว เป็นการลดอัตราเสี่ยงการติดเชื้อจากการรับโลหิตจากผู้บริภาคหลาย ๆ คน
ชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative Club)
เนื่องจากผู้ที่มีหมู่โลหิตอาร์เอชลบ (Rh-negative) ในประเทศไทยมีจำนวนน้อยจึงเป็นปัญหาอย่างมาก ในการจัดหาโลหิตหมู่พิเศษดังกล่าวนี้ให้แก่ผู้ป่วย เมื่อมีความจำเป็นต้องใช้มักประสบกับปัญหาในด้านของการจัดหาผู้บริจาคหรือไม่ก็จัดหาได้ไม่เพียงพอกับความต้องการ จากเหตุการณ์ดังกล่าว ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ จึงได้จัดตั้งชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative Club) ขึ้นมาตั้งแต่ พ.ศ. 2532 จนปัจจุบัน
ถ้าหากท่านมีโลหิตหมู่พิเศษ ขอเชิญสมัครเป็นสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิหมู่พิเศษ ได้ที่ ฝ่ายประชาสัมพันธ์และจัดหาผู้บริจาคโลหิต ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทยในวันและเวลาราชการหรือต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม โทรศัพท์ 0-2263-9699-99 ต่อ 1753 หรือ 0-2255-4567
สำหรับผู้ที่อยู่ต่างจังหวัดติดต่อแจ้งชื่อและที่อยู่ได้ที่ ธนาคารเลือดโรงพยาบาลประจำจังหวัดในวันและเวลาราชการเช่นกัน หรือรับทราบข้อมูลความรู้เรื่องการบริจาคโลหิตหมู่พิเศษ (Rh-negative) ทางอินเตอร์เน็ท www.redcross.or.th www.rh-negative.com E-mail : blood@.redcross.or.th
สมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษจะได้รับ
- บัตรประจำตัวสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ สำหรับพกติดตัวเพื่อให้ทราบว่าเป็นผู้ที่มีโลหิตหมู่พิเศษอาร์เอชลบ (Rh-negative) หากมีเหตุจำเป็นต้องรับโลหิตในการรักษาแพทย์จะทราบได้ทันทีและให้โลหิตได้อย่างถูกต้อง
- ได้รับ “สารชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษ” อย่างต่อเนื่องทุก 3 เดือน ซึ่งท่าน จะได้รับความรู้เรื่องหมู่โลหิตพิเศษ การดูแลสุขภาพ
- ได้รับเชิญให้ร่วมกิจกรรมสังสรรค์ประจำปีของชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษการอภิปราย การบรรยายที่เป็นความรู้ด้านสุขภาพอนามัย ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสมาชิกชมรมผู้บริจาคโลหิตหมู่พิเศษและครอบครัว
ที่มา : ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย
24.9.12
มารู้จักโรค...กระดูกสันหลังคด
กระดูกสันหลังคด....เรื่องธรรมดา???
จะปฎิบัติตัวอย่างไรถ้าสงสัย หรือรู้ตัวว่ามีกระดูกสันหลังคด ? การมีกระดูกสันหลังคดส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายกว่าการมีกระดูกสันหลังตรงปกติ ? จริงรึป่าวที่ประชากรส่วนใหญ่ของโลกมีกระดูกสันหลังคด ? บทความนี้อาจช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย เนื้อหาในบทความผสมผสานจากบทความที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่ก็จัดไว้ในส่วนของเอกสารอ้างอิง ให้ได้เข้าไปอ่านได้เองด้วยจ้า
สถิติการมีภาวะกระดูกสันหลังคด
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันการพบภาวะกระดูกสันหลังคดมากกว่าxxx%ของประชากรโลก โดยมีอาการผิดปกติและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆที่เป็นปัญหาในการดำรงชีวิต มีการแบ่งกลุ่มตามเพศและช่วงอายุ และพบว่าส่วนใหญ่ภาวะกระดูกสันหลังคดถูกตรวจพบในช่วงที่ย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือตั้งแต่ 11-15 ปี จนถึงวัยเด็กตอนปลาย ช่วงต่อกับวัยรุ่น
เอาเป็นว่าสถิติ ก็คือตัวเลขยืนยันความมากน้อย การพบได้บ่อยเท่านั้น สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญคือ เมื่อมีคนบอกเราว่า กระดูกสันหลังของเราคด เราเกิดคำถามอะไรบ้าง และเราจะหาคำตอบได้จากที่ไหน ในบทความนี้ได้แนบเอกสารอ้างอิงไว้พร้อมด้วย เว๊บไซด์ที่เป็นประโยชน์ มีรูปภาพประกอบให้เข้าใจ ผู้เขียนจะพยายาม พาผู้อ่านไปพร้อม ๆ กันตามข้อมูลอ้างอิงละกัน
เคยเขียนไว้บ้างแล้วเกี่ยวกับภาวะกระดูกสันหลังคดในหัวข้อแรก ๆแต่บอกอีกทีก็ได้ว่ากระดูกสันหลังคดที่เราเรียกกัน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบรู้สาเหตุ (known causes)ซึ่งอาจเกิดได้จาก การมีท่าทางการทรงตัวที่ไม่ถูกต้อง การได้รับอุบัติเหตุและแบบไม่รู้สาเหตุ (ideopathic)ซึ่งเป็นได้ทั้งจากในสายเลือด เป็นกรรมพันธ์ แต่ส่วนมากหากไม่มีใครในครอบครัวเป็น ก็จะไม่เป็นด้วย แต่ก็เกิดขึ้นได้ โดยจะคดไปด้านซ้าย หรือขวาก็ได้ หากคดเป็น 2 ช่วง เราเรียก (เอส เคิร์บ )S-curved หากเกิดเพียงช่วงเดียวเราจะเรียกว่า C-curved ส่งผลเสียต่อร่างกายคือ หากเป็นมาก ๆ ปอด 2 ข้างอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะช่องอกมีพื้นที่ลดลงทำให้ซี่โครงบีบอัดปอด ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ผู้มีมุมที่คดมากและจุดที่คดอยู่ระดับอก ควรระวังปัญหาเรื่องภาวะทรวงอก เช่น การเป็นหวัดเรื้อรัง มีอาการเหนื่อยง่าย ภาวะปอดบวม หรือติดเชื้อเกิดขึ้นง่าย
คำถามแรกที่ยกมาคือ จะปฎิบัติตัวอย่างไรถ้าสงสัย หรือรู้ตัวว่ามีกระดูกสันหลังคด ? เราก็ต้องตรวจร่างกายตัวเองก่อนเลยว่ามีความเสี่ยง หรือมีภาวะกระดูกสันหลังคดหรือไม่ ลองสังเกตคร่าว ๆได้ดังนี้ ดูได้จากรูปในเอกสารอ้างอิง(2) รูปแรกด้านซ้าย ให้ดูความสูงของกระดูกซี่โครงสองข้างไม่เท่ากัน รูปต่อมาแสดงให้เห็นความคดของกระดูกสันหลังเมื่อยืนตรง จะเห็นว่าระดับบ่าสองข้างไม่เท่ากัน กระดูกสะบักก็โป่งนูนออกมาไม่เท่ากัน การวางตัวของศรีษะก็ไม่อยู่กึ่งกลางระหว่างแนวสะโพกทั้งสองด้าน แต่ออกจะเยื้องไปด้านขวามากกว่า จากในรูปเป็นการโค้งรูปตัว เอส S
ระดับไหล่ หรือบ่าสองข้างไม่เท่ากัน สะบัก หรือกระดูกที่เป็นคล้าย ๆ ปีกมีการนูนตัวมากกว่าอีกด้านหนึ่ง
ศรีษะไม่อยู่กึ่งกลางในแนวระหว่างกระดูกเชิงกรานทั้งสองข้าง
สะโพกด้านใดด้านหนึ่ง ยกและหนาตัวขึ้นกว่าอีกด้านอย่างเห็นได้ชัด
กระดูกซี่โครงมีระดับความหนา หรือยกสูงไม่เท่ากัน
ระดับเอวไม่เสมอกัน
มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวที่วางตัวเหนือกระดูกสันหลังอย่างแตกต่างและเห็นได้ชัด เช่น จุดหรือรอยบุ๋ม มีขนขึ้นเป็นแผง และสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป
มีการเอียงของลำตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง
จะปฎิบัติตัวอย่างไรถ้าสงสัย หรือรู้ตัวว่ามีกระดูกสันหลังคด ? การมีกระดูกสันหลังคดส่งผลให้เกิดอาการปวดหลังได้ง่ายกว่าการมีกระดูกสันหลังตรงปกติ ? จริงรึป่าวที่ประชากรส่วนใหญ่ของโลกมีกระดูกสันหลังคด ? บทความนี้อาจช่วยตอบคำถามเหล่านี้ได้บ้างไม่มากก็น้อย เนื้อหาในบทความผสมผสานจากบทความที่เกี่ยวข้องมากมาย แต่ก็จัดไว้ในส่วนของเอกสารอ้างอิง ให้ได้เข้าไปอ่านได้เองด้วยจ้า
สถิติการมีภาวะกระดูกสันหลังคด
งานวิจัยหลายชิ้นยืนยันการพบภาวะกระดูกสันหลังคดมากกว่าxxx%ของประชากรโลก โดยมีอาการผิดปกติและไม่มีอาการผิดปกติใด ๆที่เป็นปัญหาในการดำรงชีวิต มีการแบ่งกลุ่มตามเพศและช่วงอายุ และพบว่าส่วนใหญ่ภาวะกระดูกสันหลังคดถูกตรวจพบในช่วงที่ย่างเข้าสู่วัยเจริญพันธุ์หรือตั้งแต่ 11-15 ปี จนถึงวัยเด็กตอนปลาย ช่วงต่อกับวัยรุ่น
เอาเป็นว่าสถิติ ก็คือตัวเลขยืนยันความมากน้อย การพบได้บ่อยเท่านั้น สิ่งที่เราควรให้ความสำคัญคือ เมื่อมีคนบอกเราว่า กระดูกสันหลังของเราคด เราเกิดคำถามอะไรบ้าง และเราจะหาคำตอบได้จากที่ไหน ในบทความนี้ได้แนบเอกสารอ้างอิงไว้พร้อมด้วย เว๊บไซด์ที่เป็นประโยชน์ มีรูปภาพประกอบให้เข้าใจ ผู้เขียนจะพยายาม พาผู้อ่านไปพร้อม ๆ กันตามข้อมูลอ้างอิงละกัน
เคยเขียนไว้บ้างแล้วเกี่ยวกับภาวะกระดูกสันหลังคดในหัวข้อแรก ๆแต่บอกอีกทีก็ได้ว่ากระดูกสันหลังคดที่เราเรียกกัน แบ่งได้เป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ คือ แบบรู้สาเหตุ (known causes)ซึ่งอาจเกิดได้จาก การมีท่าทางการทรงตัวที่ไม่ถูกต้อง การได้รับอุบัติเหตุและแบบไม่รู้สาเหตุ (ideopathic)ซึ่งเป็นได้ทั้งจากในสายเลือด เป็นกรรมพันธ์ แต่ส่วนมากหากไม่มีใครในครอบครัวเป็น ก็จะไม่เป็นด้วย แต่ก็เกิดขึ้นได้ โดยจะคดไปด้านซ้าย หรือขวาก็ได้ หากคดเป็น 2 ช่วง เราเรียก (เอส เคิร์บ )S-curved หากเกิดเพียงช่วงเดียวเราจะเรียกว่า C-curved ส่งผลเสียต่อร่างกายคือ หากเป็นมาก ๆ ปอด 2 ข้างอาจทำงานได้ไม่เต็มประสิทธิภาพ เพราะช่องอกมีพื้นที่ลดลงทำให้ซี่โครงบีบอัดปอด ทำให้ปอดขยายตัวได้ไม่เต็มที่ ผู้มีมุมที่คดมากและจุดที่คดอยู่ระดับอก ควรระวังปัญหาเรื่องภาวะทรวงอก เช่น การเป็นหวัดเรื้อรัง มีอาการเหนื่อยง่าย ภาวะปอดบวม หรือติดเชื้อเกิดขึ้นง่าย
คำถามแรกที่ยกมาคือ จะปฎิบัติตัวอย่างไรถ้าสงสัย หรือรู้ตัวว่ามีกระดูกสันหลังคด ? เราก็ต้องตรวจร่างกายตัวเองก่อนเลยว่ามีความเสี่ยง หรือมีภาวะกระดูกสันหลังคดหรือไม่ ลองสังเกตคร่าว ๆได้ดังนี้ ดูได้จากรูปในเอกสารอ้างอิง(2) รูปแรกด้านซ้าย ให้ดูความสูงของกระดูกซี่โครงสองข้างไม่เท่ากัน รูปต่อมาแสดงให้เห็นความคดของกระดูกสันหลังเมื่อยืนตรง จะเห็นว่าระดับบ่าสองข้างไม่เท่ากัน กระดูกสะบักก็โป่งนูนออกมาไม่เท่ากัน การวางตัวของศรีษะก็ไม่อยู่กึ่งกลางระหว่างแนวสะโพกทั้งสองด้าน แต่ออกจะเยื้องไปด้านขวามากกว่า จากในรูปเป็นการโค้งรูปตัว เอส S
ระดับไหล่ หรือบ่าสองข้างไม่เท่ากัน สะบัก หรือกระดูกที่เป็นคล้าย ๆ ปีกมีการนูนตัวมากกว่าอีกด้านหนึ่ง
ศรีษะไม่อยู่กึ่งกลางในแนวระหว่างกระดูกเชิงกรานทั้งสองข้าง
สะโพกด้านใดด้านหนึ่ง ยกและหนาตัวขึ้นกว่าอีกด้านอย่างเห็นได้ชัด
กระดูกซี่โครงมีระดับความหนา หรือยกสูงไม่เท่ากัน
ระดับเอวไม่เสมอกัน
มีการเปลี่ยนแปลงของสภาพผิวที่วางตัวเหนือกระดูกสันหลังอย่างแตกต่างและเห็นได้ชัด เช่น จุดหรือรอยบุ๋ม มีขนขึ้นเป็นแผง และสีผิวที่เปลี่ยนแปลงไป
มีการเอียงของลำตัวไปด้านใดด้านหนึ่ง
23.9.12
สมุนไพรจีน "โหย่งเหิง"
สมุนไพรจีน "โหย่งเหิง"
สุดยอดยาบำรุงร่างกาย ต้านโรคร้าย
สุดยอดยาบำรุงร่างกาย ต้านโรคร้าย
ด้วยยอดจำหน่ายไปแล้วกว่า 2 ล้านขวดด้วยโรงงานผลิตอันทันสมัยที่สุด มูลค่ากว่าร้อยล้านบาทจึงมั่นใจได้ทั้งคุณภาพ และมาตรฐานสูงสุดในผลิตภัณฑ์
มาดูแลสุขภาพด้วยสมุนไพรธรรมชาติกับสุดยอดตำรับยาสมุนไพรจีนสรรพคุณ ใช้บำรุงร่างกาย บรรเทาอาการปวดเมื่อย ตามส่วนต่าง ๆของร่างกายเลขทะเบียนยา G 244/43
ต้านโรคร้าย บำรุงร่างกาย ด้วยทฤษฎีแพทย์จีนคุณทราบหรือไม่ว่า ร่างกายคนเราประกอบขึ้นจากธาตุสำคัญ 5 อย่าง คือ น้ำ ไม้ ไฟ ดิน และ ทอง (โลหะ) เกิดเป็นอวัยวะต่าง ๆ ทั้งภายในและภายนอกร่างกาย ธาตุทั้ง 5 อยู่แบบพึ่งพาอาศัยกัน และ ทำงานเกื้อหนุนกันอย่างเป็นระบบ ฉะนั้น การเรียนรู้ถึงคุณสมบัติเฉพาะ และ ความสัมพันธ์ระหว่างธาตุทั้ง 5 ให้ถ่องแท้ จะช่วยให้เราสามารถรักษาระบบการทำงานที่ดีของธาตุทั้ง 5 ไว้ได้
การรักษาภาวะปกติของร่างกายไว้เช่นนี้เรียกว่า การรักษา สมดุล (หยิน-หยาง) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของวิชาการแพทย์จีน เมื่อใดที่ธาตุทั้ง 5 อยู่อย่างสมดุล ก็จะเกิดการทำงานของร่างกายในภาวะที่ปกติขึ้น แต่หากเมื่อใด ธาตุต่างๆ ผิดปรกติไป การทำงานของร่างกายก็จะเข้าสู่ภาวะผิดปรกติ นั่นหมายถึง อาการเจ็บไข้ได้ป่วยนั่นเอง
ต้นเหตุของสภาวะการขาดสมดุลนั้นมีมากมาย ยิ่งสำหรับวิถีชีวิตคนในปัจจุบันแล้ว ร่างกายอ่อนแอได้โดยง่าย กล่าวคือ ความเครียดจากการทำงาน การพักผ่อนไม่เพียงพอ การกินอาหารไม่ถูกต้องตามหลักโภชนาการ สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายทั้งสิ้น
ดังนั้น การดูแลรักษาร่างกายให้สมบูรณ์แข็งแรงจึงสำคัญ ที่การรักษาสมดุลของธาตุทั้ง 5 เราสามารถรักษาสมดุลของธาตุทั้ง 5 ในร่างกายได้ด้วยยาน้ำสมุนไพรจีน “โหย่งเหิง” จากสรรพคุณอันอเนกอนันต์ของพืชสมุนไพรจีนกว่า 30 ชนิด อวัยวะภายในที่สำคัญ เช่น หัวใจ ปอด ม้าม ตับ และไต จะได้รับการปรับสมดุล และฟื้นฟูให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การบำรุงร่างกายด้วย “โหย่งเหิง” จึงเป็นการต้านโรคภัยด้วยการลดโอกาสการเกิดโรค ซึ่งถือเป็นวิธีที่ถูกต้องมากกว่าการรักษาอาการป่วย เมื่อเกิดโรคขึ้นแล้ว
ทางเลือกของการดูแลและรักษาสุขภาพด้วยการผสมผสานแพทย์แผนปัจจุบันและศาสตร์แพทย์แผนจีน อย่างลงตัว
ศาสตร์แพทย์แผนปัจจุบันมีจุดเด่นในการรักษาโรคที่เกิดขึ้น เฉียบพลัน โรคที่ต้องช่วยชีวิตฉุกเฉิน โรคที่มีปัญหาเฉพาะส่วนหรือการบำบัดอาการที่รวดเร็ว โรคติดเชื้อ โรคที่ต้องการผ่าตัด อาวุธสำคัญในการรักษาโรค คือ ยาเคมีและมีดผ่าตัด
ศาสตร์แพทย์แผนจีนมีจุดเด่นในการปรับสมดุลของร่างกาย (หยิน-หยาง) การสร้างเสริมป้องกัน และรักษาสุขภาพ ต้องทำให้พลังลมปราณ และสมดุลของพลัง หยิน-หยาง เป็นปกติ จึงมีบทบาทในการรักษาที่รากฐาน โรคเสื่อมถอย โรคที่มีความซับซ้อนเกี่ยวข้องกับอวัยวะภายในหลายระบบ โรคเรื้อรัง อาวุธสำคัญในการดูแลรักษาโรค คือ การปรับเปลี่ยนวิถีการดำเนินชีวิต การฝังเข็ม การกินอาหารให้เกิดสมดุล การใช้ยาสมุนไพร และการฝึกนั่งสมาธิ
ยาน้ำสมุนไพร โหย่งเหิง
เป็นยาแผนโบราณอายุกว่า 500 ปี จากต้นตำรับยาจีนโบราณ ว่าเป็นตำรับยาอายุวัฒนะที่ยอดเยี่ยมในสมัยนั้นคัดเลือกจากพืชสมุนไพรจีนชั้นเลิศ ที่เป็นทั้งยา และ อาหารมากกว่า 30 ชนิด ปรับส่วนผสมจนได้คุณค่าทางวิทยาศาสตร์ และ สมดุลตามหลัก หยิน-หยาง ของแพทย์จีนแผนโบราณ จึงมีผลต่อการฟื้นฟูในทุกๆส่วนของร่างกายออกฤทธิ์ด้วย องค์ประกอบทางเคมีตามธรรมชาติ ไม่มี สเตอรอยด์ หรือ สารเคมีใด ๆ มีความปลอด ภัยในการบริโภคสูง ไม่มีพิษข้างเคียง ดื่มประจำได้อย่างต่อเนื่องทุกวันได้รับการขึ้น ทะเบียน เป็นยาแผนโบราณ เลขทะเบียนยาที่ G244/43
ตำรับยาจีนสูตรยาจีนตามหลักศาสตร์แพทย์แผนจีนประกอบด้วยยาหลัก : บำรุง รักษา ธาตุหรืออวัยวะหลักยารอง : เสริมฤทธิ์ยาหลักยาประกอบ : ลด ปรับ พิษ และผลข้างเคียง ของยา หลัก ยารองยาเสริม : เสริม ปรุงแต่ง ให้ยามีความสมดุลทั้งสรรพคุณ และทางกายภาพส่วนผสมทั้งหมดนี้จึงเป็นที่มาของตำรับยาจีนที่มีการสืบทอดกันมานานนับพัน ๆ ปี
โหย่งเหิง กับหน้าที่ 3 ประการ1.ขับสารพิษ – ล้างสารพิษ ในร่างกาย
2.สร้างเซลล์ – บำรุงเซลล์
3.ปรับ สมดุลในร่างกาย
“ถ้าร่างกายครบสมบูรณ์สามอย่าง เราจะอายุยืน เพราะไร้โรค”
การดื่มยาน้ำสมุนไพรโหย่งเหิงเริ่มที่ 5 ซีซี. ไป 3-5 วัน (ก่อนอาหารเช้า และ ก่อนนอน) แล้วเพิ่มเป็น 10 ซีซี. อีก 3-5 วัน จากนั้นเพิ่มเป็น 15 ซีซี. ไปตลอด
7 สมุนไพรเดี่ยวชั้นเลิศ ในโหย่งเหิงสมุนไพรมีการใช้มายาวนานนับพันๆ ปี ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ นักวิจัย ได้ศึกษามาอย่างต่อเนื่อง และปัจจุบันพบว่ามีสารสำคัญมากมายที่มีสรรพคุณ และประสิทธิภาพสูง สามารถใช้บำรุงร่างกาย ป้องกัน และรักษาโรคได้
ตังถั่งเฉ้า (Cordyceps sinensis)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต ปอดสารสำคัญ : โพลีแซคคาไรด์, แมนนิทอล,กาแล็กโทส,แอดดีโนซีน,คอร์ดิเซนิน, กรดอะมิโน ทั้ง 18 ชนิด, วิตามินบี 12 และแร่ธาตุอื่นๆ ฯลฯ
สรรพคุณ:- ชะลอความแก่ รักษาโรคหืด หอบ ภูมิแพ้ ขยายหลอดลม แก้ไอ
- ลดระดับน้ำตาลในเลือด ปรับความดันโลหิต แก้ไตอ่อนแอ
- เป็นยาบำรุง บำบัดอาการเหนื่อยล้า ช่วยให้นอนหลับง่าย
- เพิ่มภูมิต้านทานโรค ในทางคลินิก ใช้รักษามะเร็ง
ตังกุย (Angelica sinensis)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ตับ ปอด ไต หัวใจ ม้ามสาระสำคัญ : เบอร์แคบเท็น, เบต้าซิโทสเตอรอล, วิตามินบี 12, คาร์วาโครล,โคลีน,กรดแพนโทเทนิก,สโคโปลิติน,อัมเบลลิเฟอโรนฯลฯ
สรรพคุณ:- บำรุงเลือด รักษาโลหิตจาง ขยายหลอดเลือดแดง
- ลดความดันโลหิต รักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติ โรคเจ็บหัวใจ
- แก้อาการประจำเดือนผิดปกติ ปวดประจำเดือน และอาการวัยทอง
- ช่วยการทำงานของตับและไตดีขึ้น รักษาโรคปอดอุดตัน
- กำลังวิจัยในการป้องกัน รักษามะเร็งตับ และโรคไต
สรรพคุณ:- บำรุงเลือด รักษาโลหิตจาง ขยายหลอดเลือดแดง
- ลดความดันโลหิต รักษาโรคหัวใจเต้นผิดปกติ โรคเจ็บหัวใจ
- แก้อาการประจำเดือนผิดปกติ ปวดประจำเดือน และอาการวัยทอง
- ช่วยการทำงานของตับและไตดีขึ้น รักษาโรคปอดอุดตัน
- กำลังวิจัยในการป้องกัน รักษามะเร็งตับ และโรคไต
เก๋ากี้ (Fructus lycii)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต ตับ ปอดสารสำคัญ : โพลีแซคคาไลน์, แคโรทินอยด์ โดยเฉพาะมีเบต้าแคโรทีนสูงที่สุดของพืชในโลกนี้, วิตามินซี, บี1, บี2, กรดอะมิโนทั้ง 18 ชนิด,กรดลิโนเลอิก, อะโทรพีน, ไฮออสไซยามีน,สโคโพลาติน, เบต้า-ซิโตสเตอรอส, และแร่ธาตุต่าง ๆ ฯลฯ
สรรพคุณ:- บำรุงไต ตับ บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นชัดขึ้น
- ชะลอความแก่ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงมาก เพิ่มภูมิต้านทานโรค
- เพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและกระตุ้นฮอร์โมนอีสโตรจน
- ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ป้องกันตับไม่ให้มีไขมัน
- มีการทดลองใช้เป็นยาลดความอ้วน
- มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง จีน ญี่ปุ่น กำลังศึกษาใช้บำบัดโรคมะเร็ง
สรรพคุณ:- บำรุงไต ตับ บำรุงสายตา ทำให้การมองเห็นชัดขึ้น
- ชะลอความแก่ มีสารแอนตี้ออกซิแดนท์สูงมาก เพิ่มภูมิต้านทานโรค
- เพิ่มฮอร์โมนเทสโทสเตอโรนและกระตุ้นฮอร์โมนอีสโตรจน
- ลดน้ำตาลในเลือด ลดไขมันในเลือด ป้องกันตับไม่ให้มีไขมัน
- มีการทดลองใช้เป็นยาลดความอ้วน
- มีคุณสมบัติต้านมะเร็ง จีน ญี่ปุ่น กำลังศึกษาใช้บำบัดโรคมะเร็ง
ปัคคี้ (Astragali radix)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ม้าม ปอดสารสำคัญ : โพลีแซคคาไรด์, ไกลโคไซด์, เฟลวานอยด์,ซาโปนิน,กรดอะมิโน,แอสตรากาโลไซด์-I II III IV VI VII,แอสตราไอโซเฟลแวน,แอสตราเปอโรคาแปน,บีเทน,คาลิโคซิน,ไตรเทอปีน,ไกลโคไซด์,แร่ธาตุต่างๆ
สรรพคุณ :- บำรุงหัวใจ เพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจ บำรุงเลือดลม
- ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
- เสริมภูมิต้านทาน บำบัดอาการอ่อนล้า
- ปัจจุบัน ใช้ร่วมในการบำบัดมะเร็ง และ มีผลงานวิจัยในการยับยั้งเซลล์มะเร็งของกระเพาะและลำไส้
สรรพคุณ :- บำรุงหัวใจ เพิ่มเลือดไปเลี้ยงหัวใจ บำรุงเลือดลม
- ขับปัสสาวะ ลดความดันโลหิต
- เสริมภูมิต้านทาน บำบัดอาการอ่อนล้า
- ปัจจุบัน ใช้ร่วมในการบำบัดมะเร็ง และ มีผลงานวิจัยในการยับยั้งเซลล์มะเร็งของกระเพาะและลำไส้
โต่วต๋ง (Eucommia ulmoides)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต ตับสารสำคัญ : ไพโนเรซินอล ไดกลูโคโซด์,ออคิวบิน,อิริดอยด์,แอสเพอรูโรไซด์,กรดแอสเพอรูล,กรดอโรแมติวาเนลิก,กรดคลอโรจีนิก,กรดเจนิโพเซดิก,กรดอะมิโน,แร่ธาตุต่างๆ อัลคาลอยด์โพลีแซคคาไลน์ เควอร์เซติน,ซิตรูซิลิน บี ฯลฯ
สรรพคุณ :
- บำรุงไตและตับ บำรุงกระดูกและเอ็น แก้อักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปวดกระดูก
- ข้ออักเสบ โดยเฉพาะหัวเข่าและข้อเท้า
- ในทางคลินิก ใช้ลดความดันโลหิต เพิ่มระบบภูมิต้านทาน
- ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสมรรถนะทางเพศทั้งชายและหญิง
- ในเภสัชตำรับจีน ใช้บำรุงสตรีมีครรภ์
สรรพคุณ :
- บำรุงไตและตับ บำรุงกระดูกและเอ็น แก้อักเสบ ปวดกล้ามเนื้อ
- ปวดหลัง ปวดบั้นเอว ปวดกระดูก
- ข้ออักเสบ โดยเฉพาะหัวเข่าและข้อเท้า
- ในทางคลินิก ใช้ลดความดันโลหิต เพิ่มระบบภูมิต้านทาน
- ชาวจีนเชื่อว่าเป็นยาบำรุงสมรรถนะทางเพศทั้งชายและหญิง
- ในเภสัชตำรับจีน ใช้บำรุงสตรีมีครรภ์
ปักตังเซียม (Codonopsis pilosula, Radix)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ม้าม ปอดสารสำคัญ : โพลีแซคคาไรด์,ธาราเซอร์ริล อาซิเตด,ฟรีเดลิน,ธาราซีรอล,ดี-สไปนาสเตอรอล,ดี7-สติดมาสตีนนอล, กลูโคไซด์, ซูโคลส, กลูโกลส, อินูลิน, สตาร์ช, อัลคารอยด์ และเรซิน ฯลฯ
สรรพคุณ :- บำรุงม้าม ปอด และสร้างพลังลมปราณ (ฉี)
- เพิ่มการสร้างเลือด ช่วยระบบการย่อยอาหาร
- แก้อ่อนล้า เพิ่มระบบภูมิต้านทานโรค มีผลต่อสภาวะภูมิต้านทาน บกพร่อง รวมทั้ง HIV บำรุงระบบภูมิคุ้มกัน
- ในคลินิก ที่จีนและญี่ปุ่น ใช้สร้างภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
สรรพคุณ :- บำรุงม้าม ปอด และสร้างพลังลมปราณ (ฉี)
- เพิ่มการสร้างเลือด ช่วยระบบการย่อยอาหาร
- แก้อ่อนล้า เพิ่มระบบภูมิต้านทานโรค มีผลต่อสภาวะภูมิต้านทาน บกพร่อง รวมทั้ง HIV บำรุงระบบภูมิคุ้มกัน
- ในคลินิก ที่จีนและญี่ปุ่น ใช้สร้างภูมิต้านทานให้กับผู้ป่วยมะเร็ง
เต้กย้ง (Deer Antler Velvet)อวัยวะที่เกี่ยวข้อง : ไต ตับสารสำคัญ : คอลลาเจน type II,กรดอะมิโนทั้ง 18 ชนิด,กลูโคสซามีน, คอนรอยติน,พรอสต้าแกรนดินส์,ฟอสโฟไลปิด,กรดไขมันจำเป็น(โอเมก้า 3และ6),แพนโทคริน แร่ธาตุ เช่นแคลเซี่ยม,แมงกานิส,แมกนีเซียม,สังกะสี,ทองแดง,เหล็ก,ซีลิเนียม ฯลฯ และสำคัญที่สุดคือ สาร IGF 1
สรรพคุณ :- บำรุงไต กระดูก เลือด ปอด กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อสมอง
- เพิ่มระบบภูมิต้านทานโรค ใช้เป็นยาต้านมะเร็ง ต้านเนื้องอก
- ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย รักษาอาการอ่อนเพลีย
- รักษาโรคไขข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าต์ กระดูกพรุน
- เสริมความเป็นหนุ่น สาว รักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพ กระตุ้นทำให้เพิ่มระดับฮอร์โมนอิสโตรเยน และเทสเตอโรน
สรรพคุณ :- บำรุงไต กระดูก เลือด ปอด กล้ามเนื้อ เนื้อเยื่อสมอง
- เพิ่มระบบภูมิต้านทานโรค ใช้เป็นยาต้านมะเร็ง ต้านเนื้องอก
- ช่วยเพิ่มสมรรถภาพของร่างกาย รักษาอาการอ่อนเพลีย
- รักษาโรคไขข้ออักเสบ รูมาตอยด์ เก๊าต์ กระดูกพรุน
- เสริมความเป็นหนุ่น สาว รักษาโรคเสื่อมสมรรถภาพ กระตุ้นทำให้เพิ่มระดับฮอร์โมนอิสโตรเยน และเทสเตอโรน
สนใจติดต่อ : คุณพิชญ์สินี 083-199 7189
email : yoshiki_or@hotmail.com
ถุงรองเอ็นและเอ็นอักเสบ
ถุงรองเอ็นและเอ็นอักเสบ
ถุงรองเอ็นและเอ็นอักเสบ From Eat Well, Stay Well ภาวะอักเสบนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ ในท่าเดิม เช่น การเล่นเทนนิส หรือขุดดิน ถุงรองเอ็นใกล้ข้ออักเสบคือการอักเสบของถุงน้ำที่คั่นระหว่างกล้ามเนื้อ (หรือเส้นเอ็น) ที่มาเกาะยึดกับกระดูกใกล้ข้อนั้น ส่วนเส้นเอ็นคือ เนื้อเยื่อแข็งที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูก ถุงรองเอ็นใกล้ข้ออักเสบมักทำให้เกิดอาการปวดตึงในข้อ ขณะที่เส้นเอ็นอักเสบจะมีอาการปวดแปลบบริเวณที่เป็น ซึ่งมักเกิดกับหัวไหล่ สะโพก ข้อศอก หัวเข่า และข้อเท้า
1,001 ตำรับยาใกล้ตัว
ประคบเย็นแล้วตามด้วยร้อน
ประคบน้ำแข็งที่ข้อเพื่อบรรเทาปวดและอักเสบ ใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบข้อ 10-20 นาที ทุกๆ 4 ชั่วโมง หรือใช้ก้อนน้ำแข็งถูบริเวณที่ปวดโดยตรง 2-5 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการ
หลังจากประคบน้ำแข็งติดต่อกันราว 3 วัน หรือเมื่อแตะข้อแล้วไม่รู้สึกร้อน ให้เปลี่ยนเป็นประคบร้อน ความร้อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่บาดเจ็บ ทำให้หายเร็วขึ้น คุณอาจทำถุงประคบร้อนใช้เอง โดยตักข้าวสวย 2-3 ถ้วย ใส่ในถุงเท้าหรือถุงผ้า มัดปิดปากถุงให้แน่น นำไปอุ่นให้ร้อนในเตาไมโครเวฟ 60-90 วินาที ถุงข้าวสวยนี้สามารถนำมาพันรอบหัวเข่า ข้อศอก หรือข้อเท้าได้กระชับ
ถุงรองเอ็นและเอ็นอักเสบ From Eat Well, Stay Well ภาวะอักเสบนี้เกิดจากการเคลื่อนไหวร่างกายซ้ำๆ ในท่าเดิม เช่น การเล่นเทนนิส หรือขุดดิน ถุงรองเอ็นใกล้ข้ออักเสบคือการอักเสบของถุงน้ำที่คั่นระหว่างกล้ามเนื้อ (หรือเส้นเอ็น) ที่มาเกาะยึดกับกระดูกใกล้ข้อนั้น ส่วนเส้นเอ็นคือ เนื้อเยื่อแข็งที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อกับกระดูก ถุงรองเอ็นใกล้ข้ออักเสบมักทำให้เกิดอาการปวดตึงในข้อ ขณะที่เส้นเอ็นอักเสบจะมีอาการปวดแปลบบริเวณที่เป็น ซึ่งมักเกิดกับหัวไหล่ สะโพก ข้อศอก หัวเข่า และข้อเท้า
1,001 ตำรับยาใกล้ตัว
ประคบเย็นแล้วตามด้วยร้อน
ประคบน้ำแข็งที่ข้อเพื่อบรรเทาปวดและอักเสบ ใช้ผ้าขนหนูห่อน้ำแข็งประคบข้อ 10-20 นาที ทุกๆ 4 ชั่วโมง หรือใช้ก้อนน้ำแข็งถูบริเวณที่ปวดโดยตรง 2-5 นาที วันละ 3-4 ครั้ง เพื่อบรรเทาอาการ
หลังจากประคบน้ำแข็งติดต่อกันราว 3 วัน หรือเมื่อแตะข้อแล้วไม่รู้สึกร้อน ให้เปลี่ยนเป็นประคบร้อน ความร้อนช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือดไปยังบริเวณที่บาดเจ็บ ทำให้หายเร็วขึ้น คุณอาจทำถุงประคบร้อนใช้เอง โดยตักข้าวสวย 2-3 ถ้วย ใส่ในถุงเท้าหรือถุงผ้า มัดปิดปากถุงให้แน่น นำไปอุ่นให้ร้อนในเตาไมโครเวฟ 60-90 วินาที ถุงข้าวสวยนี้สามารถนำมาพันรอบหัวเข่า ข้อศอก หรือข้อเท้าได้กระชับ
22.9.12
โรคกรดไหลย้อน (GERD)
โรคกรดไหลย้อน (GERD)
คนไทยคุ้นเคยกันดีกับโรคกระเพาะอาหาร ฉะนั้นเมื่อเกิดอาการ "เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ปวดบริเวณหน้าอก" ก็จะคิดไว้ก่อนว่านั่นเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะเป็น "โรคกรดไหลย้อน จากกระเพาะสู่หลอดอาหาร (Gastro esophageal Reflux Disease : GERD)"
"โรคกรดไหลย้อน" เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอาการแสบยอดยก เรอเปรี้ยว ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ "แต่เท่าที่พบผู้ป่วยบางรายไม่ได้มาด้วยอาการแสบยอดอก เรอเปรี้ยว แต่มาหาหมอด้วยอาการของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด บางรายก็มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเมื่อวินิจฉัยแล้วไม่พบโรคอื่น ก็จะส่งมาที่แผนกและส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน"
รศ.นพ.อุดม คชินทร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุถึงกลุ่มคนไข้ที่มารับการรักษาโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อน มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ลักษณะของโรคคือการที่มีกรดไหลย้อนขึ้นจากกระเพาะอาหารมาที่หลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนมักพบได้จากการที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อน ซึ่งมีผลกระทบได้ในทุกช่วงอายุ และวิถีชีวิตในแถบยุโรป พบได้ในผู้ใหญ่ ประมาณ 20-40% ซึ่งอาการที่พบเป็นประจำคืออาการแสบยอดอกจากการสำรวจ "The Asian Burning Desires Survey" ซึ่งเป็นผลการสำรวจผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในทวีปเอเชียทั้งหมด 7 ประเทศ คือ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย ในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนทั้งหมด 1,020 คน ในแง่ผลกระทบของโรคต่อการทำงาน และการใช้ชีวิต ผลการสำรวจพบว่า 65% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในเอเชียไม่ได้รับรู้ว่ากำลังทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน รวมทั้งผู้ป่วยที่ได้ไปพบแพทย์ และ 75% ของผู้ป่วยจะมีอาการเรอเปรี้ยว และรู้สึกปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ประมาณ 60% ของผู้ป่วยรู้สึกไม่ค่อยสบาย หลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ รู้สึกเหนื่อยและเป็นกังวลเนื่องจากอาการของโรค ส่วนผู้ป่วยอีกประมาณ 50% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ต้องตื่นขึ้นมาอย่างน้อยเดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง เพราะนอนไม่หลับจากอาการของโรค
ผศ.นพ.สมชาย ลีกากุศลวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า โรคกรดไหลย้อนจะพบได้มากในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่พบมาก และมักจะมีอาการรุนแรงจะเป็นกลุ่มคนอ้วน ยิ่งกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นอาการของโรคจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีอาการนอกหลอดอาหารจะมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ซึ่งหากเจ็บคอเรื้อรังแต่หาสาเหตุไม่พบส่วนใหญ่ 70% จะเป็นโรคกรดไหลย้อน ส่วนที่มีอาการในหลอดอาหารจะมีการอักเสบการวินิจฉัยโรค ไม่แนะนำให้ใช้วิธีส่องกล้อง ยกเว้นในรายที่มีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง ถ่ายอุจจาระสีดำ เพราะการส่องกล้องจะวินิจฉัยได้เพียง 10-30% เท่านั้น หากรักษาด้วยการใช้ยารักษา ซึ่งใช้ดีที่สุดในกลุ่มคนไข้ที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร หากให้ยาแล้ว 2 สัปดาห์อาการดีขึ้นก็ให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน"การปรับพฤติกรรมการกิน การนอน จะสามารถช่วยรักษาได้ 20% แต่หากใช้ยาในการรักษาจะหายได้ 80-100% คนไทยจะพบโรคนี้ประมาณ 7.4% ซึ่งมากกว่าเบาหวานซึ่งจะพบแค่ 4% ของประชากรเท่านั้น แต่ผู้ที่มีโรคนี้ประมาณ 40% จะไม่กระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน" ผศ.นพ.สมชายระบุ แต่หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผลก็จะใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการ "ผูกหูรูดกระเพาะอาหาร"
เพื่อไม่ให้กรดไหลย้อน แต่การผ่าตัดต้องใช้ฝีมือศัลยแพทย์มือหนึ่ง ซึ่งมีแพทย์ที่ทำได้ไม่มากนักในเมืองไทย
คนไทยคุ้นเคยกันดีกับโรคกระเพาะอาหาร ฉะนั้นเมื่อเกิดอาการ "เรอเปรี้ยว หรือมีรสขมในปาก ปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ปวดบริเวณหน้าอก" ก็จะคิดไว้ก่อนว่านั่นเป็นอาการของโรคกระเพาะอาหาร ทั้งที่ความจริงแล้วอาจจะเป็น "โรคกรดไหลย้อน จากกระเพาะสู่หลอดอาหาร (Gastro esophageal Reflux Disease : GERD)"
"โรคกรดไหลย้อน" เป็นภาวะที่น้ำย่อยจากกระเพาะอาหารไหลย้อนขึ้นไปในหลอดอาหาร โดยของที่ไหลย้อนส่วนใหญ่จะเป็นกรดในกระเพาะอาหาร ส่วนน้อยอาจเป็นด่างจากลำไส้เล็ก โดยอาจมีหรือไม่มีหลอดอาหารอักเสบก็ได้ ผู้ป่วยด้วยโรคนี้จะมีอาการแสบยอดยก เรอเปรี้ยว ภาวะนี้อาจทำให้เกิดหลอดอาหารอักเสบหรือเป็นมากจนเกิดแผลรุนแรง จนทำให้ปลายหลอดอาหารตีบ หรือเกิดการเปลี่ยนแปลงเซลล์ของเยื่อบุหลอดอาหารได้ บางรายอาจรุนแรงจนถึงขั้นเป็นมะเร็งหลอดอาหารได้ "แต่เท่าที่พบผู้ป่วยบางรายไม่ได้มาด้วยอาการแสบยอดอก เรอเปรี้ยว แต่มาหาหมอด้วยอาการของโรคหู คอ จมูก เช่น ไอเรื้อรัง เสียงแหบเรื้อรัง มีกลิ่นปาก หรืออาจมาด้วยอาการทางระบบหายใจ เช่น หอบหืด บางรายก็มาด้วยอาการเจ็บหน้าอก ซึ่งเมื่อวินิจฉัยแล้วไม่พบโรคอื่น ก็จะส่งมาที่แผนกและส่วนใหญ่จะพบว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน"
รศ.นพ.อุดม คชินทร หัวหน้าภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ระบุถึงกลุ่มคนไข้ที่มารับการรักษาโรคกรดไหลย้อน โรคกรดไหลย้อน มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ลักษณะของโรคคือการที่มีกรดไหลย้อนขึ้นจากกระเพาะอาหารมาที่หลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อนมักพบได้จากการที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร โรคกรดไหลย้อน ซึ่งมีผลกระทบได้ในทุกช่วงอายุ และวิถีชีวิตในแถบยุโรป พบได้ในผู้ใหญ่ ประมาณ 20-40% ซึ่งอาการที่พบเป็นประจำคืออาการแสบยอดอกจากการสำรวจ "The Asian Burning Desires Survey" ซึ่งเป็นผลการสำรวจผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในทวีปเอเชียทั้งหมด 7 ประเทศ คือ จีน ฮ่องกง อินโดนีเซีย เกาหลี ฟิลิปปินส์ ไต้หวัน และไทย ในผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนทั้งหมด 1,020 คน ในแง่ผลกระทบของโรคต่อการทำงาน และการใช้ชีวิต ผลการสำรวจพบว่า 65% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อนในเอเชียไม่ได้รับรู้ว่ากำลังทุกข์ทรมานจากโรคกรดไหลย้อน รวมทั้งผู้ป่วยที่ได้ไปพบแพทย์ และ 75% ของผู้ป่วยจะมีอาการเรอเปรี้ยว และรู้สึกปวดแสบร้อนในช่องท้องส่วนบน ประมาณ 60% ของผู้ป่วยรู้สึกไม่ค่อยสบาย หลีกเลี่ยงอาหารและน้ำ รู้สึกเหนื่อยและเป็นกังวลเนื่องจากอาการของโรค ส่วนผู้ป่วยอีกประมาณ 50% ของผู้ป่วยโรคกรดไหลย้อน ต้องตื่นขึ้นมาอย่างน้อยเดือนละ 1 หรือ 2 ครั้ง เพราะนอนไม่หลับจากอาการของโรค
ผศ.นพ.สมชาย ลีกากุศลวงศ์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล อธิบายว่า โรคกรดไหลย้อนจะพบได้มากในทุกกลุ่มอายุ แต่ที่พบมาก และมักจะมีอาการรุนแรงจะเป็นกลุ่มคนอ้วน ยิ่งกลุ่มคนที่สูบบุหรี่ยิ่งมีปัจจัยเสี่ยงมากขึ้นอาการของโรคจะแบ่งเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่มีอาการนอกหลอดอาหารจะมีอาการเจ็บคอเรื้อรัง ซึ่งหากเจ็บคอเรื้อรังแต่หาสาเหตุไม่พบส่วนใหญ่ 70% จะเป็นโรคกรดไหลย้อน ส่วนที่มีอาการในหลอดอาหารจะมีการอักเสบการวินิจฉัยโรค ไม่แนะนำให้ใช้วิธีส่องกล้อง ยกเว้นในรายที่มีอาการอาเจียนอย่างรุนแรง ถ่ายอุจจาระสีดำ เพราะการส่องกล้องจะวินิจฉัยได้เพียง 10-30% เท่านั้น หากรักษาด้วยการใช้ยารักษา ซึ่งใช้ดีที่สุดในกลุ่มคนไข้ที่มีการอักเสบของหลอดอาหาร หากให้ยาแล้ว 2 สัปดาห์อาการดีขึ้นก็ให้สันนิษฐานว่าเป็นโรคกรดไหลย้อน"การปรับพฤติกรรมการกิน การนอน จะสามารถช่วยรักษาได้ 20% แต่หากใช้ยาในการรักษาจะหายได้ 80-100% คนไทยจะพบโรคนี้ประมาณ 7.4% ซึ่งมากกว่าเบาหวานซึ่งจะพบแค่ 4% ของประชากรเท่านั้น แต่ผู้ที่มีโรคนี้ประมาณ 40% จะไม่กระทบกับการดำเนินชีวิตประจำวัน" ผศ.นพ.สมชายระบุ แต่หากรักษาด้วยยาไม่ได้ผลก็จะใช้วิธีการผ่าตัดด้วยการ "ผูกหูรูดกระเพาะอาหาร"
เพื่อไม่ให้กรดไหลย้อน แต่การผ่าตัดต้องใช้ฝีมือศัลยแพทย์มือหนึ่ง ซึ่งมีแพทย์ที่ทำได้ไม่มากนักในเมืองไทย
มะเร็งปากมดลูก
มะเร็งปากมดลูก
คิดสักนิดก่อนฉีดวัคซีนป้องกัน
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งอันอับ 2 ของมะเร็งสตรีทั่วโลก จะเป็นรองก็แต่มะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่สำหรับเมืองไทย มะเร็งปากมดลูกกลับเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในบรรดามะเร็งของสตรี แต่ละปี มีคนไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่า 6,000 ราย ไวรัส HPV ติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HPV เป็นได้ทั้งหญิงและชาย (ชายรักชาย) จะเรียกว่าเป็นมะเร็งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted cancer) ก็ได้ ดังนั้นพฤติกรรมทางเพศจึงมีความสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก
HPV VACCINE ก็คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (Human PapillomaVirus) นั่นแหละ แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร ก็เลยไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกก็คือเจ้า HPV นี่เอง เมื่อรู้สาเหตุ ก็รู้วิธีป้องกัน จึงมีผู้คิดค้นหาวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส HPV คือ
· การมีคู่นอนหลายคน (ครั้งละหลายๆคน หรือครั้งละคน แต่มีหลายคน)
· คู่นอนมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือชายอื่นหลายๆคน
· มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยๆ
· มีลูกมาก
· มีภูมิคุ้มกันต่ำ
· มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วย
ไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ธรรมดาๆ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ดุ ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่นสายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, 33, 52, 58 สายพันธุ์ 16 พบได้ร้อยละ 50-60 สายพันธุ์ 18 พบได้ร้อยละ 10-15 การพัฒนาวัคซีนจึงมุ่งเน้นสายพันธุ์ 18 และ 16 เป็นส่วนใหญ่
วัคซีน HPV ทำจากอะไร
วัคซีน HPV ก็ทำจากตัวเชื้อ HPV นั่นแหละ โดยนำโปรตีนที่เปลือกหุ้มของตัวไวรัสมาเพิ่มจำนวน แล้วมาทำเป็นอนุภาคที่คล้ายตัว HPV เรียกว่า virus-like particle (VLP) ซึ่งมีโครงสร้างทุกอย่างเหมือนตัวเชื้อ HPV ต้นแบบ เพียงแต่ไม่มี DNA ที่ก่อมะเร็งเท่านั้น เจ้า VLP ตัวนี้สามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทาน (antibody) ได้ดีมากๆ แอนติบอดีที่เกิดขึ้นก็จะวิ่งไปออกันอยู่ที่มูกบริเวณปากมดลูก พอเชื้อ HPV เข้ามา มันก็จัดการเขมือบซะ !
วัคซีน HPV มีกี่ชนิด
ในการพัฒนาวิจัยวัคซีน HPV มีหลายเจ้า หลายบริษัท บางบริษัทก็ทดลองวัคซีนป้องกัน HPV โดดๆ สายพันธุ์เดียว บางเจ้าก็ทดลองวัคซีนที่มีสองสายพันธุ์รวมกัน (สายพันธุ์16 กับ 18) บางเจ้าก็ทดลองหลายๆสายพันธุ์รวมกันถึง 5 สายพันธุ์ก็มี (สายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, และ 33) ซึ่งป้องกันได้ถึง 83 % หรือบางเจ้าต้องการให้ครอบคลุมไวรัสแบบครอบจักรวาล ก็ทดลองให้มีถึง7 ชนิดโดยเพิ่มสายพันธุ์ 52 กับ 58 เข้าไปก็มี ซึ่งก็สามารถป้องกันได้ถึง 87 %
มีวัคซีนแล้วดียังไงไม่ดียังไง
เรื่องดีก็คือ ต่อนี้ไป เราจะมีวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว แม้จะป้องกันได้ไม่หมดเสียทีเดียว แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังอะไรเลย
แล้วมีอะไรไม่ดีล่ะ เรื่องไม่ดีก็คือ วัคซีนตัวนี้เพิ่งพัฒนาแล้วเสร็จ เพิ่งได้รับการรับรอง แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น ควรเริ่มฉีดตอนอายุเท่าไร เอาตั้งแต่แรกเกิดเลยดีไหม หรือรอให้เข้าโรงเรียนก่อน หรือค่อยฉีดตอนเข้าวัยสาว หรือรอฉีดก่อนแต่งงาน แล้วถ้าฉีดผู้ชายตัวต้นเหตุ จะมีประโยชน์หรือเปล่า ต้องฉีดกระตุ้นไหม ถ้าต้องฉีดกระตุ้น ต้องกี่ปีจึงจะฉีดซ้ำ แล้วสาวโสดประเภทมีแนวโน้มจะขึ้นคาน ต้องฉีดหรือเปล่า คนที่มีเชื้อหรือติดเชื้อ HPV อยู่แล้ว ฉีดไปจะทำให้หายเร็วขึ้นไหม ที่มองในแง่ลบสุดๆ เมื่อมีวัคซีนป้องกันแล้วจะทำให้ผู้คนประมาท ไม่ป้องกันมากขึ้นไหม จะสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยังไม่มีการศึกษา
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
1 ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซันนี้อาจไม่เป็นประโยชน์กับคุณเลย เพราะมีโอกาสสูงมากที่คุณเคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาแล้ว
2 ถ้าคุณอายุมากกว่า 26 ปี ผลตอบสนองจากการฉีดวัคซีนอาจไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยกว่า
3 ถ้าคุณสนใจฉีดวัคซีนนี้ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่น
แปปสเมียร์ VIA หรือ Thin prep อีกต่อไป ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ และนำชีวิตไปสู่ความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะวัคซีนนี้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เพียง 70 % เท่านั้น
ราคาเท่าไร แพงไหม
การฉีดวัคซีนเอชพีวีต้องฉีด 3 ครั้ง คือ เมื่อเริ่มฉีดครั้งแรก หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะฉีดครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 หลังจากครั้งแรก 6 เดือน เมื่อก่อนราคาวัคซีนเอชพีวี 3 เข็ม ประมาณ 12,000-14,000 บาท แต่ปัจจุบันราคาเหลือประมาณ 7,000-8,000 บาท บางโรงพยาบาลสามารถให้ทยอยจ่ายทีละครั้งได้จนครบ 3 ครั้ง
คิดสักนิดก่อนฉีดวัคซีนป้องกัน
มะเร็งปากมดลูกเป็นมะเร็งอันอับ 2 ของมะเร็งสตรีทั่วโลก จะเป็นรองก็แต่มะเร็งเต้านมเท่านั้น แต่สำหรับเมืองไทย มะเร็งปากมดลูกกลับเป็นมะเร็งที่พบมากที่สุดในบรรดามะเร็งของสตรี แต่ละปี มีคนไทยเป็นมะเร็งปากมดลูกมากกว่า 6,000 ราย ไวรัส HPV ติดต่อทางเพศสัมพันธ์กับคนที่มีเชื้อ HPV เป็นได้ทั้งหญิงและชาย (ชายรักชาย) จะเรียกว่าเป็นมะเร็งที่เกิดจากการมีเพศสัมพันธ์ (sexually transmitted cancer) ก็ได้ ดังนั้นพฤติกรรมทางเพศจึงมีความสำคัญในการเกิดมะเร็งปากมดลูก
HPV VACCINE ก็คือ วัคซีนป้องกันการติดเชื้อ HPV (Human PapillomaVirus) นั่นแหละ แต่ก่อนนี้เราไม่รู้ว่ามะเร็งปากมดลูกเกิดจากอะไร ก็เลยไม่รู้ว่าจะป้องกันอย่างไร แต่เดี๋ยวนี้เรารู้แล้วว่า สาเหตุหนึ่งที่ทำให้เกิดมะเร็งปากมดลูกก็คือเจ้า HPV นี่เอง เมื่อรู้สาเหตุ ก็รู้วิธีป้องกัน จึงมีผู้คิดค้นหาวัคซีนเพื่อป้องกันมะเร็งปากมดลูก
ปัจจัยที่เสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัส HPV คือ
· การมีคู่นอนหลายคน (ครั้งละหลายๆคน หรือครั้งละคน แต่มีหลายคน)
· คู่นอนมีเพศสัมพันธ์กับหญิงอื่นหรือชายอื่นหลายๆคน
· มีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุน้อยๆ
· มีลูกมาก
· มีภูมิคุ้มกันต่ำ
· มีโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่นๆร่วมด้วย
ไวรัส HPV มีหลายสายพันธุ์ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ธรรมดาๆ บางสายพันธุ์ก็เป็นสายพันธุ์ดุ ก่อให้เกิดมะเร็งได้ เช่นสายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, 33, 52, 58 สายพันธุ์ 16 พบได้ร้อยละ 50-60 สายพันธุ์ 18 พบได้ร้อยละ 10-15 การพัฒนาวัคซีนจึงมุ่งเน้นสายพันธุ์ 18 และ 16 เป็นส่วนใหญ่
วัคซีน HPV ทำจากอะไร
วัคซีน HPV ก็ทำจากตัวเชื้อ HPV นั่นแหละ โดยนำโปรตีนที่เปลือกหุ้มของตัวไวรัสมาเพิ่มจำนวน แล้วมาทำเป็นอนุภาคที่คล้ายตัว HPV เรียกว่า virus-like particle (VLP) ซึ่งมีโครงสร้างทุกอย่างเหมือนตัวเชื้อ HPV ต้นแบบ เพียงแต่ไม่มี DNA ที่ก่อมะเร็งเท่านั้น เจ้า VLP ตัวนี้สามารถกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิต้านทาน (antibody) ได้ดีมากๆ แอนติบอดีที่เกิดขึ้นก็จะวิ่งไปออกันอยู่ที่มูกบริเวณปากมดลูก พอเชื้อ HPV เข้ามา มันก็จัดการเขมือบซะ !
วัคซีน HPV มีกี่ชนิด
ในการพัฒนาวิจัยวัคซีน HPV มีหลายเจ้า หลายบริษัท บางบริษัทก็ทดลองวัคซีนป้องกัน HPV โดดๆ สายพันธุ์เดียว บางเจ้าก็ทดลองวัคซีนที่มีสองสายพันธุ์รวมกัน (สายพันธุ์16 กับ 18) บางเจ้าก็ทดลองหลายๆสายพันธุ์รวมกันถึง 5 สายพันธุ์ก็มี (สายพันธุ์ 16, 18, 45, 31, และ 33) ซึ่งป้องกันได้ถึง 83 % หรือบางเจ้าต้องการให้ครอบคลุมไวรัสแบบครอบจักรวาล ก็ทดลองให้มีถึง7 ชนิดโดยเพิ่มสายพันธุ์ 52 กับ 58 เข้าไปก็มี ซึ่งก็สามารถป้องกันได้ถึง 87 %
มีวัคซีนแล้วดียังไงไม่ดียังไง
เรื่องดีก็คือ ต่อนี้ไป เราจะมีวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกกันแล้ว แม้จะป้องกันได้ไม่หมดเสียทีเดียว แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีความหวังอะไรเลย
แล้วมีอะไรไม่ดีล่ะ เรื่องไม่ดีก็คือ วัคซีนตัวนี้เพิ่งพัฒนาแล้วเสร็จ เพิ่งได้รับการรับรอง แต่ก็ยังไม่มีการศึกษาอย่างกว้างขวาง เช่น ควรเริ่มฉีดตอนอายุเท่าไร เอาตั้งแต่แรกเกิดเลยดีไหม หรือรอให้เข้าโรงเรียนก่อน หรือค่อยฉีดตอนเข้าวัยสาว หรือรอฉีดก่อนแต่งงาน แล้วถ้าฉีดผู้ชายตัวต้นเหตุ จะมีประโยชน์หรือเปล่า ต้องฉีดกระตุ้นไหม ถ้าต้องฉีดกระตุ้น ต้องกี่ปีจึงจะฉีดซ้ำ แล้วสาวโสดประเภทมีแนวโน้มจะขึ้นคาน ต้องฉีดหรือเปล่า คนที่มีเชื้อหรือติดเชื้อ HPV อยู่แล้ว ฉีดไปจะทำให้หายเร็วขึ้นไหม ที่มองในแง่ลบสุดๆ เมื่อมีวัคซีนป้องกันแล้วจะทำให้ผู้คนประมาท ไม่ป้องกันมากขึ้นไหม จะสำส่อนทางเพศเพิ่มขึ้นหรือเปล่า เหล่านี้เป็นประเด็นที่ยังไม่มีการศึกษา
คำแนะนำสำหรับผู้ที่สนใจจะฉีดวัคซีนป้องกันไวรัส HPV
1 ถ้าคุณมีเพศสัมพันธ์แล้ว วัคซันนี้อาจไม่เป็นประโยชน์กับคุณเลย เพราะมีโอกาสสูงมากที่คุณเคยติดเชื้อไวรัสดังกล่าวมาแล้ว
2 ถ้าคุณอายุมากกว่า 26 ปี ผลตอบสนองจากการฉีดวัคซีนอาจไม่ดีเท่ากับคนอายุน้อยกว่า
3 ถ้าคุณสนใจฉีดวัคซีนนี้ เพราะเข้าใจว่าจะทำให้ไม่จำเป็นต้องตรวจคัดกรองมะเร็งปากมดลูก เช่น
แปปสเมียร์ VIA หรือ Thin prep อีกต่อไป ถือว่าเป็นความเข้าใจที่ผิดมหันต์ และนำชีวิตไปสู่ความเสี่ยงอย่างยิ่ง เพราะวัคซีนนี้ป้องกันมะเร็งปากมดลูกได้เพียง 70 % เท่านั้น
ราคาเท่าไร แพงไหม
การฉีดวัคซีนเอชพีวีต้องฉีด 3 ครั้ง คือ เมื่อเริ่มฉีดครั้งแรก หลังจากนั้น 1-2 เดือน จะฉีดครั้งที่ 2 และครั้งที่ 3 หลังจากครั้งแรก 6 เดือน เมื่อก่อนราคาวัคซีนเอชพีวี 3 เข็ม ประมาณ 12,000-14,000 บาท แต่ปัจจุบันราคาเหลือประมาณ 7,000-8,000 บาท บางโรงพยาบาลสามารถให้ทยอยจ่ายทีละครั้งได้จนครบ 3 ครั้ง
Subscribe to:
Posts (Atom)