แพทย์ผิวหนังเตือนภัย 'เดอร์มาโรลเลอร์' ทำหน้า 'เสี่ยงเชื้อร้าย'
นอกจากการฉีดสาร “กลูตาไธโอน” เพื่อหวังจะให้ผิวขาว ซึ่ง “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” เคยนำเสนอคำเตือนจากแพทย์ว่าเสี่ยงเกิดอันตราย และนอกจากการฉีดสาร “โบท็อกซ์” เพื่อหวังจะให้ผิวหนัง-ผิวหน้าเต่งตึง ซึ่งล่าสุดมีดาราชายบางรายฉีดแล้วเกิดอาการเปลือกตาตก-ตาปิดจนเป็นข่าวดังแล้ว กับการทำผิว โดยเฉพาะการ “ทำหน้า” ในเมืองไทยยังมีการทำกันอีกหลายแบบ บางวิธีก็กำลังฮิตในหมู่ผู้รักษาแผลเป็นจากสิว...
“เดอร์มาโรลเลอร์ (DermaRoller)” นี่ก็กำลังฮอต แต่แพทย์ผิวหนังก็เตือนว่า “ต้องระวัง” เพราะเสี่ยง ?!?
กับเรื่องนี้ รศ.นพ.ประวิตร อัศวานนท์ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และประธานฝ่ายวิชาการสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ให้ความรู้ความเข้าใจผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... “เดอร์มาโรลเลอร์” ใช้เครื่องมือที่มีลักษณะคล้ายลูกกลิ้ง และมีเข็มขนาดเล็ก เส้นผ่าศูนย์กลางประมาณ 0.25 มิลลิเมตร เมื่อกลิ้งไปบนผิวหนังก็จะทำให้เกิดรูหรือแผลขนาดเล็กมาก ๆ ซึ่งความลึกของรูหรือแผลจะขึ้นกับขนาดและความยาวของเข็ม การมีแผลลักษณะนี้ก็จะทำให้ผิวหนังต้องเกิดการซ่อมแซมตัวเองโดยสร้างคอลลาเจนขึ้นมาใหม่ คนที่มีแผลเป็นจากสิวหรือมีริ้วรอยตื้น ๆ จึงรู้สึกว่าผิวดีขึ้น
เดอร์มาโรลเลอร์นี้ถือเป็นชื่อทางการค้า ทางการแพทย์เรียกว่าการ ทำ สกิน นีดลิ่ง (Skin Needling) หรือ ไมโคร-นีดลิ่ง (Micro-Needling) ซึ่งพัฒนามาจากวิธีจี้เลเซอร์ซึ่งมีราคาแพงกว่า ลำบากในการดูแลรักษา และเจ็บกว่า จึงทำให้วิธีเดอร์มาโรลเลอร์ได้รับความนิยม โดย วิธีนี้ก็พัฒนาจากการใช้เลเซอร์ซึ่งจะกรอหน้าทั้งหมด ทำให้เกิดแผลสด การรักษาต้องใช้เวลา และอาจมีรอยดำตามมา ต่อมาจึงพัฒนาเป็นการใช้เลเซอร์เจาะรูบนผิวหนัง แต่ก็ยังมีข้อจำกัดคือราคาแพง ใช้เทคนิคสูง จึงมีคนประยุกต์นำเข็มเล็ก ๆ มาใช้แทนเลเซอร์ อาศัยหลักการคล้ายกัน ปัจจุบันเครื่องมือที่ใช้ก็มีหลากหลาย ทั้งแบบลูกกลิ้ง และแบบตรายาง
“ถามว่าได้ผลไหม เท่าที่สอบถามคนไข้หลายคนจะรู้สึกว่าได้ผล แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือข้อมูลวิชาการที่เป็นเรื่องเป็นราว ต้องยอมรับว่าเท่าที่ค้นก็ยังไม่มีข้อมูลหนักแน่นว่าได้ผลจริงในทางวิทยาศาสตร์ และระยะหลังยังพบว่านิยมเติมสารอื่น ๆ ลงไปด้วย” ...แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังระบุ
พร้อมทั้งบอกอีกว่า... ด้วยความที่เดอร์มาโรลเลอร์กำลังได้รับความนิยม มีคลินิกเปิดให้บริการมากขึ้น สิ่งที่น่ากังวลใจตอนนี้คือเรื่อง
“ความสะอาดของเครื่องมือ” ที่ใช้ เพราะวิธีนี้คือการทำให้เกิดแผลโดยใช้เข็ม หากความสะอาดไม่ได้มาตรฐาน ไม่ได้ทำตามหลักวิชาการทางการแพทย์ โอกาส “เสี่ยงติดเชื้อโรค-ติดเชื้อร้าย” ก็สูง และจากข้อมูลพบว่าปัจจุบันมีหลายคลินิกนำเข็มกลับมาวนให้บริการใหม่ ซึ่งในต่างประเทศเครื่องมือเหล่านี้เมื่อใช้แล้วจะถูกทำลายหรือทิ้ง จะเหมือนกับการฉีดยา เข็มฉีดยาเมื่อใช้แล้วก็ต้องทิ้ง
“ถ้ามีการฆ่าเชื้ออย่างดีก็แล้วไป แต่ถึงแม้จะฆ่าเชื้อแล้วก็ต้องถามใจผู้รับบริการว่าจะสนิทใจหรือไม่ ถ้าจะทำก็ตามใจ แต่ควรดูว่าเสี่ยงมากน้อยแค่ไหน ซึ่งวิธีที่จะดูว่าปลอดภัยก็คงแนะนำได้แค่ว่าต้องเห็นกับตาทุกครั้ง ว่าเขาแกะซองใหม่ออกมาจริง ๆ หรือต้องเลือกคลินิกที่เราคิดว่าไว้ใจได้” ...รศ.นพ.ประวิตรระบุ
ขณะที่ รศ.นพ.นพดล นพคุณ นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย ก็บอกผ่าน “สกู๊ปหน้า 1 เดลินิวส์” ว่า... ปัจจุบันการรักษาแผลเป็นลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมสูง ทั้งที่ในความเป็นจริงเครื่องมือดังกล่าวยังไม่ผ่านการรับรองจากทาง อย. ที่ผ่านมาก็เคยมีการจับกุม แต่ก็ดูเหมือนจะไม่ได้รับความสนใจจากกลุ่มผู้ใช้บริการมากนัก อาจเพราะทำแล้วรู้สึกว่ามันได้ผล ที่รู้สึกว่าได้ผลก็เพราะหน้าดูเต่งตึง หลุมลึกดูตื้นขึ้น ซึ่ง จริง ๆ เป็นผลมาจากอาการอักเสบ คือเป็นเรื่องของความรู้สึก ไม่ได้เป็นผลยืนยันในทางการแพทย์
“ก็ต้องถือว่าเสี่ยง ยิ่งปัจจุบันมีการพัฒนาวิธีการดึงดูดใจคนได้เยอะ หลากหลายวิธี อย่างเช่นสื่ออินเทอร์เน็ต ก็มีทั้งโฆษณาตรง มีการ สร้างเว็บบล็อกบรรยายสรรพคุณเป็นเรื่องเป็นราว ซึ่งดูแล้วก็เหมือนว่าข้อมูลจะมีที่มาจากแหล่งเดียวกันหมด ที่สำคัญมีแต่ข้อดี ไม่มีการระบุถึงผลเสีย ยิ่งถ้าหากไม่ได้ผ่านการทำจากผู้เชี่ยวชาญ ความเสี่ยงก็ยิ่งเพิ่มขึ้น” ...นายกสมาคมแพทย์ผิวหนังฯระบุ
รศ.นพ.นพดลยังบอกด้วยว่า... ปัจจุบันมีเทคโนโลยีใหม่ ๆ ออกมามาก ซึ่งหลายชนิดยังไม่มีหลักวิชาการทางการแพทย์รองรับ อีกทั้งยังมี คลินิกความงามบางแห่งที่ผู้ให้บริการไม่ใช่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ จนเกิดปัญหาตามมามาก ซึ่งการตรวจสอบว่ามีแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังอยู่ที่ใดบ้างสามารถตรวจสอบได้ที่เว็บไซต์สมาคมแพทย์ผิวหนังฯ www.dst. or.th หรือตรวจสอบว่าแพทย์ที่ทำการรักษาอยู่ผ่านการฝึกอบรมแพทยสภาหรือไม่ ก็ตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ www.tmc.or.th ของแพทยสภาได้ เพื่อลดความเสี่ยง
ส่วนใครที่สนใจประเด็น “ขาวอันตราย-ขาวปลอดภัย” ทางสมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทยจะจัดการบรรยายในวันที่ 26 ก.พ.นี้ที่ห้องโลตัส 3-4 โรงแรมเซ็นทรัลเวิลด์ เวลา 13.30-15.00 น. ซึ่งใครที่มีข้อข้องใจก็ไปสอบถามกันได้โดยตรง รวมถึงจะได้ความรู้ใหม่ ๆ ในการเสริมสวย-เสริมหล่ออย่างปลอดภัย
แพทย์ผู้เชี่ยวชาญก็มีการเตือนกันต่อเนื่องในหลายกรณี อยากทำสวย-ทำหล่อก็น่าจะได้พินิจพิจารณากันไว้บ้างจะได้ “ไม่เสี่ยง-ไม่อันตราย” ทั้ง ๆ ที่ต้องเสียเงิน !!!.
ที่มา : เดลินิวส์
แหล่งรวมข้อมูล...การดูแล รักษาสุขภาพ สาระ ประโยชน์มากมาย รวมถึง วิธีการปฏิบัติ วิธีการป้องกันโรคต่าง ๆ
23.12.12
มะเร็งเต้านม โรคร้ายอันดับ ๑ ของผู้หญิงชาวกรุง
มะเร็งเต้านม โรคร้ายอันดับ ๑ ของผู้หญิงชาวกรุง
ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเท่าเทียมกัน วงการแพทย์ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ามะเร็งเต้านมเกิดจากสาเหตุใด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเด็ดขาด วิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้ขณะนี้คือ ต้องค้นหามะเร็งเต้านมให้พบโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ และทำให้เสียชีวิต
ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงบางคนมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ คือเรื่องของกรรมพันธุ์ และวิถีในการดำเนินชีวิต ผู้หญิงควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาด และรูปร่างของเต้านม อาการบวมที่รักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังที่เปลี่ยนแปลง เช่น มีรอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ หรือ บางส่วนเป็นสะเก็ด หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม (ร้อยละ ๒๐ ของการมีเลือดออกเป็นมะเร็ง)
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๐) มีก้อนที่เต้านม แต่อย่าตกใจไป เพราะก้อนในเต้านมที่พบ ใน ๑๐๐ รายมีเพียง ๑๕-๒๐ ราย เท่านั้นที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ มะเร็งเต้านม
๑. สาเหตุของการเป็นมะเร็งเต้านม ไม่เกี่ยวกับการถูกกระแทก การถูก จับหรือลูบคลำ และมะเร็งเต้านมไม่ใช่เป็นโรคติดต่อ
๒. ถ้าประวัติครอบครัวมีแม่เป็นมะเร็งเต้านม ลูกสาวก็จะมีความเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งถ้าทั้งแม่ พี่สาว หรือน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกัน จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น
๓. ผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่เคยมีลูกและ ผู้หญิงที่มีลูกหลังอายุ ๓๐ ปี จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มมากกว่าผู้หญิงที่ไม่มีลูก
๔. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุน้อย เช่น อายุ ๑๑ ปี ก็เริ่มมีประจำเดือนแล้วและอีกกลุ่มหนึ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยทอง ระหว่างอายุ ๕๐-๕๕ ปี มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
๕. ผู้หญิงที่มีประวัติการเป็นซีสต์ (cyst) หรือถุงน้ำ ไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ควรจะตรวจเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
๖. การกินอาหารที่มีไขมันสูงอาจส่งผลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ผู้หญิงควรกินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใยมากและอาหารไขมันต่ำ รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
๗. ฮอร์โมนไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่ถ้ามีการใช้ฮอร์โมนในขณะที่มีมะเร็งเต้านมจะทำให้มะเร็งเต้านมเติบโตเร็วขึ้น
สรุปคือ ผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเท่าๆ กัน เพราะผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ ๗๕ ไม่ได้มีความเสี่ยงที่กล่าวข้างต้น
ที่มา : ไทยรัฐ
ผู้หญิงทุกคนมีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมเท่าเทียมกัน วงการแพทย์ยังไม่สามารถสรุปได้ชัดเจนว่ามะเร็งเต้านมเกิดจากสาเหตุใด จึงยังไม่มีวิธีป้องกันที่ได้ผลเด็ดขาด วิธีที่ดีที่สุดที่ทำได้ขณะนี้คือ ต้องค้นหามะเร็งเต้านมให้พบโดยเร็วที่สุด ตั้งแต่ระยะเริ่มแรกก่อนที่มะเร็งจะลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ และทำให้เสียชีวิต
ปัจจัยที่ทำให้ผู้หญิงบางคนมีความเสี่ยงมากกว่าคนอื่นๆ คือเรื่องของกรรมพันธุ์ และวิถีในการดำเนินชีวิต ผู้หญิงควรหมั่นสังเกตการเปลี่ยนแปลงของขนาด และรูปร่างของเต้านม อาการบวมที่รักแร้ เพราะต่อมน้ำเหลืองโต ผิวหนังที่เปลี่ยนแปลง เช่น มีรอยบุ๋ม ย่น หดตัว หนาผิดปกติ หรือ บางส่วนเป็นสะเก็ด หัวนมมีการหดตัว คัน หรือแดงผิดปกติ มีเลือดหรือน้ำออกจากหัวนม (ร้อยละ ๒๐ ของการมีเลือดออกเป็นมะเร็ง)
จากสถิติพบว่าผู้ป่วยมะเร็งเต้านมส่วนใหญ่ (ร้อยละ ๙๐) มีก้อนที่เต้านม แต่อย่าตกใจไป เพราะก้อนในเต้านมที่พบ ใน ๑๐๐ รายมีเพียง ๑๕-๒๐ ราย เท่านั้นที่จะเป็นมะเร็งเต้านม
ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับ มะเร็งเต้านม
๑. สาเหตุของการเป็นมะเร็งเต้านม ไม่เกี่ยวกับการถูกกระแทก การถูก จับหรือลูบคลำ และมะเร็งเต้านมไม่ใช่เป็นโรคติดต่อ
๒. ถ้าประวัติครอบครัวมีแม่เป็นมะเร็งเต้านม ลูกสาวก็จะมีความเสี่ยงเพิ่ม ยิ่งถ้าทั้งแม่ พี่สาว หรือน้องสาวเป็นมะเร็งเต้านมพร้อมกัน จะยิ่งมีความเสี่ยงสูงขึ้น
๓. ผู้หญิงที่ไม่เคยมีลูก จะมีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิงที่เคยมีลูกและ ผู้หญิงที่มีลูกหลังอายุ ๓๐ ปี จะมีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเพิ่มมากกว่าผู้หญิงที่ไม่มีลูก
๔. ผู้หญิงที่มีประจำเดือนครั้งแรกตั้งแต่อายุน้อย เช่น อายุ ๑๑ ปี ก็เริ่มมีประจำเดือนแล้วและอีกกลุ่มหนึ่งผู้หญิงที่อยู่ในวัยทอง ระหว่างอายุ ๕๐-๕๕ ปี มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม
๕. ผู้หญิงที่มีประวัติการเป็นซีสต์ (cyst) หรือถุงน้ำ ไม่มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม แต่ควรจะตรวจเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์
๖. การกินอาหารที่มีไขมันสูงอาจส่งผลและเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านม ผู้หญิงควรกินอาหารที่มีประโยชน์ในสัดส่วนที่เหมาะสม เน้นอาหารที่มีกากใยมากและอาหารไขมันต่ำ รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
๗. ฮอร์โมนไม่ได้ทำให้เกิดมะเร็งเต้านม แต่ถ้ามีการใช้ฮอร์โมนในขณะที่มีมะเร็งเต้านมจะทำให้มะเร็งเต้านมเติบโตเร็วขึ้น
สรุปคือ ผู้หญิงทุกคนล้วนแล้วแต่มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งเต้านมเท่าๆ กัน เพราะผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งเต้านมร้อยละ ๗๕ ไม่ได้มีความเสี่ยงที่กล่าวข้างต้น
ที่มา : ไทยรัฐ
13.12.12
ยาไพรนารี Ya Prai Naree
ยาไพรนารี Ya Prai Naree
ในยาสมุนไพร 1 แคปซูล ประกอบด้วย
แกแล 5% / แก่นแสมทะเล 5% / ผิวมะกรูด 10% / เมล็ดพริกไทยล่อน 10%
/ เหง้าขิง 5% / ขมิ้นเครือ 5% / หัวไพล 20% / ว่านชักมดลูก 15% / ดีปลี 10%
สมุนไพรอื่นๆ รวม 15%
สรรพคุณ แก้ระดูไม่ปกติ (ประจำเดือนมาไม่ปกติ) ขับน้ำคาวปลา
ไพรนารี เป็นยาเหมาะสำหรับสุภาพสตรีโดย เฉพาะท่านที่มีปัญหาเกี่ยวกับ
- ระดูมาไม่ปกติ คือประจำเดือนมาไม่ตรงเวลา ปวดมากเวลาที่มา มาน้อย มามาก
- สตรีที่มีปัญหา คันช่องคลอด ตกขาว มีกลิ่นฉุน ให้ทานต่อเนื่องจนกว่าจะปกติ
- ขับน้ำคาวปลา สำหรับสตรี หลังคลอดบุตร จะช่วยขับน้ำคาวปลา ทำให้มดลูกเข้าอู่ได้อีก และอยู่ไฟได้ดี
- ไพรนารี ยังมีผลสำหรับสตรีที่มีปัญหา ฝ้าที่หน้าที่เป็นฝ้าเลือด จะลดลง และปัญหาฮอร์โมนเพศหญิงผิดปกติ และผู้ทีมีฝ้ากระเพิ่มขึ้นตามผิวหนัง
- การรับประทานไพรนารี สามารถทานต่อเนื่องได้ยาวนาน โดยไม่มีผลข้างเคียงใดๆ และไม่มีสารตกค้าง เป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านการตรวจ
วิธีใช้ ให้รับประทานครั้งละ 2-3 แคปซูล วันละ 2 ครั้ง ก่อนอาหาร ประมาณ 20-30 นาที เช้า-เย็น
บรรจุ 100 แคปซูล ราคา 600 บาท รหัสสินค้า 106054
สนใจติดต่อ : คุณพิชญ์สินี 083-199 7189
email : yoshiki_or@hotmail.com
email : yoshiki_or@hotmail.com
9.12.12
โรคปวดศีรษะ จากความเครียด (จบ)
· การวินิจฉัย
แพทย์จะวินิจฉันโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉันได้ถูกต้อง) และไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
· การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท
ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาท ด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น
ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3 - 4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีน ทุกวันติดต่อกันนาน 1 – 3 เดือน
· ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายโรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อย ๆ
· การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมง ๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย
· ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือ ประมาณร้อยละ 80 -90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้
พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมากที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20 -50 ปี
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5 - 2 เท่า
อาการ
ลักษณะเฉพาะของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อ ๆ หนัก ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทองทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องนานครั้งละ 30 นานถึง 1 ชั่วโมง ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวัน เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรก ๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อ ๆ หนัก ๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้า ๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1 – 2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
· มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง
· มีอาการปวดมากตอนเช้ามือ จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน
· มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
· มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
· มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
· ดูแลตนเอง 2 -3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
· มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง
การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ
ที่มา : นพ. สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
แพทย์จะวินิจฉันโรคนี้จากลักษณะอาการ และประวัติเกี่ยวกับความเครียด วิตกกังวล ซึมเศร้า นอนไม่หลับ การคร่ำเคร่งกับงาน
นอกจากมีอาการไม่ชัดเจนและสงสัยเป็นโรคเกี่ยวกับสมอง จึงจะส่งตรวจพิเศษเพิ่มเติม เช่น การถ่ายภาพสมองด้วยคลื่นแม่เหล็ก ไฟฟ้าหรือเอกซเรย์คอมพิวเตอร์
ผู้ป่วยและญาติจึงควรบอกเล่าประวัติ และอาการเจ็บป่วยอย่างละเอียด เช่น ปัญหาครอบครัว (สามีมีภรรยาน้อย เล่นการพนัน การทะเลาะกัน) ปัญหาการงาน เป็นต้น ซึ่งจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้แพทย์วินิจฉันได้ถูกต้อง) และไม่หลงไปส่งตรวจพิเศษให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น
· การรักษา
แพทย์จะให้การรักษาโดยให้ยาบรรเทาปวดร่วมกับยาคลายกล้ามเนื้อหรือยากล่อมประสาท
ถ้าพบว่ามีโรควิตกกังวลหรือซึมเศร้าร่วมด้วย ก็จะให้การรักษาภาวะเหล่านี้ไปพร้อมกัน และอาจให้การรักษาด้วยวิธีอื่นร่วมไปด้วย เช่น กายภาพบำบัด เทคนิคการผ่อนคลาย การทำจิตบำบัด การกระตุ้นประสาท ด้วยไฟฟ้า การฝังเข็ม เป็นต้น
ในรายที่มีอาการกำเริบมากกว่าสัปดาห์ละ 2 ครั้ง และแต่ละครั้งปวดนานมากกว่า 3 - 4 ชั่วโมง หรือปวดรุนแรง หรือต้องใช้ยาแก้ปวดบ่อยมาก แพทย์อาจให้ผู้ป่วยกินยาป้องกัน เช่น อะมิทริปไทลีน หรือฟลูออกซีทีน ทุกวันติดต่อกันนาน 1 – 3 เดือน
· ภาวะแทรกซ้อน
โรคนี้ไม่มีภาวะแทรกซ้อนร้ายแรงแต่อย่างใด นอกจากทำให้วิตกกังวล ไม่สุขสบาย และอาจสิ้นเปลืองเงินทองและเวลาในการแสงหาบริการ ซึ่งผู้ป่วยและญาติมักคิดว่าเป็นโรคร้ายแรง จึงย้ายโรงพยาบาลที่รักษาไปเรื่อย ๆ
· การดำเนินโรค
อาการปวดแต่ละครั้งจะเป็นนานเป็นชั่วโมง ๆ จนเป็นสัปดาห์ หรือแรมเดือน เมื่อได้รับการรักษาที่ถูกต้องก็มักจะทุเลาไปได้ แต่เมื่อขาดการักษา และมีสิ่งกระตุ้นก็อาจกำเริบได้อีก จึงมักจะเป็น ๆ หาย ๆ ได้บ่อย
· ความชุก
โรคนี้พบได้บ่อย คือ ประมาณร้อยละ 80 -90 ของผู้ที่ปวดศีรษะจะมีสาเหตุจากโรคนี้
พบได้ในคนทุกวัย เริ่มเป็นครั้งแรกตั้งแต่วัยรุ่น หรือวัยหนุ่มสาว (มีโอกาสน้อยมากที่จะมีอาการครั้งแรกหลังอายุ 50 ปีไปแล้ว) และพบมีอาการกำเริบบ่อยในช่วงอายุ 20 -50 ปี
พบว่าผู้หญิงเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายประมาณ 1.5 - 2 เท่า
อาการ
ลักษณะเฉพาะของโรคนี้ คือ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตื้อ ๆ หนัก ที่ขมับ หน้าผาก กลางศีรษะ หรือท้ายทองทั้ง 2 ข้าง หรือทั่วศีรษะ หรือปวดรอบศีรษะคล้ายเข็มขัดรัด ต่อเนื่องนานครั้งละ 30 นานถึง 1 ชั่วโมง ส่วนใหญ่มักจะปวดนานเกิน 24 ชั่วโมง บางคนอาจปวดนานติดต่อกันทุกวัน เป็นสัปดาห์ ๆ หรือเป็นแรมเดือนโดยที่อาการปวดจะเป็นอย่างคงที่ ไม่ปวดรุนแรงขึ้นจากวันแรก ๆ ที่เริ่มเป็น ส่วนมากจะเป็นการปวดตื้อ ๆ หนัก ๆ พอรำคาญหรือรู้สึกไม่สุขสบาย ส่วนมากที่อาจปวดรุนแรงจนเป็นอุปสรรคต่อการทำกิจวัตรประจำวัน
ผู้ป่วยจะไม่มีไข้ ไม่เป็นหวัด ไม่มีอาการ คลื่นไส้ อาเจียน หรือตาพร่าตาลาย และไม่ปวดมากขึ้นเมื่อถูกแสง เสียง กลิ่น หรือมีการเคลื่อนไหวของร่างกาย
อาการปวดศีรษะอาจเริ่มเป็นตั้งแต่หลังตื่นนอนหรือในช่วงเช้า ๆ บางคนอาจเริ่มปวดตอนบ่าย ๆ เย็น ๆ หรือหลังจากได้คร่ำเคร่งกับงานมากหรือขณะหิวข้าว หรือมีเรื่องคิดมาก วิตกกังวล มีอารมณ์ซึมเศร้าหรือนอนไม่หลับ
การดูแลตนเอง
เมื่อมีอาการปวดศีรษะเพียงเล็กน้อย ควรกินยาพาราเซตามอลบรรเทา 1 – 2 เม็ด นั่งพักนอนพัก ใช้นิ้วบีบนวด
ควรไปปรึกษาแพทย์ ถ้ามีลักษณะข้อใดข้อหนึ่ง ดังต่อไปนี้
· มีอาการปวดรุนแรง หรืออาเจียนรุนแรง
· มีอาการปวดมากตอนเช้ามือ จนสะดุ้งตื่น หรือปวดแรงขึ้นและนานขึ้นทุกวัน
· มีอาการเดินเซ แขนขาอ่อนแรง หรือชักกระตุก
· มีอาการตาพร่ามัว และตาแดงร่วมด้วย
· มีอาการปวดศีรษะหลังจากได้รับบาดเจ็บที่ศีรษะ
· ดูแลตนเอง 2 -3 วันแล้วไม่ดีขึ้น
· มีความวิตกกังวล หรือไม่มั่นใจที่จะรักษาตนเอง
การป้องกัน
ผู้ป่วยควรป้องกันไม่ให้กำเริบโดยการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพออย่าปล่อยให้หิว อย่าคร่ำเคร่งกับงานมากเกินไป หลีกเลี่ยงการใช้สายตาจนเมื่อยล้า ออกกำลังเป็นประจำ หาทางผ่อนคลายความเครียดด้วยวิธีต่าง ๆ ถ้าจำเป็นควรกินยาป้องกันตามที่แพทย์แนะนำ
ที่มา : นพ. สุรเกียรติ อาชานานุภาพ
โรคปวดศีรษะ จากความเครียด (1)
โรคปวดศีรษะ จากความเครียด
โรคปวดศีรษะจากความเครียด เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวด ศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวัน ๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรก ๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
“โรคนี้มีอาการปวดศีรษะ ต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงสัปดาห์”
· ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด
· ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headach, Muscle contraction hedache, Psychogenic headache
· สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้า ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี เช่น เอนดอร์ฟิน ซีโรโทนนิน ) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
ส่วนใหญ่มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น อดนอน ตาล้าตาเพลีย (จากใช้สายตามากเกิน)
นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
· การแยกโรค
อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวัน ๆ ขึ้นไป ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง ) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4 -72 ชั่วโมง มักจะเป็น ๆ หาย ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย
2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอตอนเช้า พอสาย ๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าวจะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลาในระยาต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม
3. โรคทางสมองอื่น ๆ
เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย
4. ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดง ๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบ ๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวัน ๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา
โรคปวดศีรษะจากความเครียด เป็นสาเหตุที่พบได้มากที่สุดของผู้ที่มีอาการปวด ศีรษะ มักจะมีอาการปวดศีรษะต่อเนื่องนานเป็นวัน ๆ จนถึงเป็นสัปดาห์ หรือเป็นแรมเดือน โดยจะปวดอย่างคงที่ ไม่แรงขึ้นกว่าวันแรก ๆ ที่ปวด จัดว่าเป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรงแต่อย่างใด แต่จะเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง
“โรคนี้มีอาการปวดศีรษะ ต่อเนื่องนานเป็นวันๆ จนถึงสัปดาห์”
· ชื่อภาษาไทย โรคปวดศีรษะจากความเครียด โรคปวดศีรษะแบบตึงเครียด
· ชื่อภาษาอังกฤษ Tension-type headache (TTH), Tension headach, Muscle contraction hedache, Psychogenic headache
· สาเหตุ
อาการปวดศีรษะของผู้ป่วยโรคนี้เป็นผลมาจากมีการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อบริเวณศีรษะและใบหน้า ซึ่งยังไม่ทราบสาเหตุและกลไกของการเกิดโรคอย่างแน่ชัด สันนิษฐานว่าเกิดจากสิ่งเร้ากระตุ้นที่กล้ามเนื้อและพังผืดบริเวณรอบกะโหลกศีรษะ ส่งผลให้เกิดความผิดปกติของการทำงานของประสาทขึ้นตรงประสาทส่วนกลาง (อาจเป็นส่วนของไขสันหลัง หรือเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ที่เลี้ยงบริเวณศีรษะและใบหน้า) แล้วส่งผลกลับมาที่กล้ามเนื้อรอบกะโหลกศีรษะ ทำให้เกิดการเกร็งตัว ตึงตัวของกล้ามเนื้อดังกล่าว รวมทั้งอาจมีการเปลี่ยนแปลงของสารเคมี เช่น เอนดอร์ฟิน ซีโรโทนนิน ) ในเนื้อเยื่อดังกล่าว ทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ
ส่วนใหญ่มักพบว่ามีสาเหตุกระตุ้น อดนอน ตาล้าตาเพลีย (จากใช้สายตามากเกิน)
นอกจากนี้ ยังพบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีโรควิตกกังวลซึมเศร้า ความผิดปกติทางอารมณ์ หรือการปรับตัว บางครั้งอาจพบร่วมกับโรคปวดศีรษะไมเกรน
· การแยกโรค
อาการปวดศีรษะที่เป็นต่อเนื่องกันเป็นวัน ๆ ขึ้นไป ควรแยกออกจากสาเหตุอื่น เช่น
1. ไมเกรน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตุบ ๆ ที่ขมับข้างเดียว (ส่วนน้อยเป็นพร้อมกัน 2 ข้าง ) คลื่นไส้ อาเจียน ตาพร่า นาน 4 -72 ชั่วโมง มักจะเป็น ๆ หาย ทุกครั้งที่มีอาการกำเริบ มักจะเกิดจากสิ่งกระตุ้น เช่น แสง เสียง กลิ่น อดนอน อดข้าว อากาศร้อนหรือเย็นจัด อาหารบางชนิด เหล้า ผงชูรส โดยมากจะเริ่มเป็นตั้งแต่วัยรุ่นหรือวัยหนุ่มสาว บางคนอาจมีอาการปวดศีรษะจากความเครียดร่วมด้วย
2. เนื้องอกสมอง
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะ ปวดมากเวลาตื่นนอนตอนเช้า พอตอนเช้า พอสาย ๆ ก็ทุเลาไป ไม่ปวดต่อเนื่องทั้งวันอาการดังกล่าวจะเป็นแรงขึ้นทุกวันจนผู้ป่วยต้องสะดุ้ง ตื่นตอนเช้ามืดเพราะรู้สึกปวด และจะปวดนานขึ้นทุกวันจนในที่สุดจะปวดตลอดเวลา ซึ่งกินยาแก้ปวดไม่ทุเลาในระยาต่อมาอาจมีอาการอาเจียน เดินเซ เห็นภาพซ้อน แขนขาอ่อนแรง ชัก ความจำเสื่อม บุคลิกภาพเปลี่ยนไปจากเดิม
3. โรคทางสมองอื่น ๆ
เช่น เลือดออกในสมอง เยื่อหุ้มสมองอักเสบ ผู้ป่วยจะมีอาการปวดศีรษะรุนแรงและอาเจียน ตั้งแต่วันแรก ๆ ที่ปวด บางคนอาจมีไข้สูง ซึม ชัก ร่วมด้วย
4. ต้อหินชนิดเฉียบพลัน
ผู้ป่วยจะมีอาการปวดตาและศีรษะข้างเดียวอย่างรุนแรงและฉับพลันทันที ตาพร่ามัว แสบตาข้างที่ปวดจะมีสิ่งรบกวน ตาแดง ๆ ตรงบริเวณตาขาว (รอบ ๆ ตาดำ) อาการปวดจะเป็นต่อเนื่องเป็นวัน ๆ ซึ่งกินยาแก้ปวดก็ไม่ทุเลา
26.11.12
อุจจาระบอกสุขภาพ . . .
อุจจาระบอกสุขภาพ . . .
นิสัยการกินส่งผลต่อสุขภาพ แต่ตอนกินอาจจะไม่ทันตั้งสติหรือไม่แน่ใจว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง ไม่เป็นไรค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นก้มมองเสียหน่อยหลังปลดทุกข์หนักก็พอจะบอกได้ว่านิสัยการกินและสุขภาพของเจ้าของทุกข์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มจากสังเกตสี และลักษณะ
ถ้าอุจจาระเป็นสีน้ำตาลดำ ลักษณะหนืดเหนียว จมน้ำ แสดงว่าคุณทานเนื้อสัตว์มาก
ถ้าคุณกินผักมาก อุจจาระจะเป็นสีเขียวขี้ม้า
ถ้าคุณกินมะละกอ อุจจาระก็จะออกสีแดงๆ
ถ้าคุณกินธัญพืชและข้าวซ้อมมือมาก อุจจาระจะออกสีน้ำตาลอ่อนและลอยน้ำได้
ถ้าถ่ายแล้วแสบก้น แสดงว่าคุณกินพริกมากเกินไป
ถ้ามีคราบไขมันลอย ให้สำรวจตัวเองว่าคุณกินอาหารมันเกินไปหรือเปล่า
ถ้าอุจจาระยังมีชิ้นส่วนที่บ่งบอกได้ว่ากินอะไรเข้าไป เช่น เศษมะเขือเทศ ข้าวฟ่างลอยเป็นเมล็ด ข้าวโพดที่ยังดูเป็นข้าวโพด แสดงว่าคุณน่าจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้นนะคะ
ตามธรรมชาติอุจจาระจะเปลี่ยนสีตามอาหารที่เรารับประทานเข้าไปอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่สีของอุจจาระมีลักษณะหรือสีดังต่อไปนี้
มีเลือดสดๆ ปนในตอนท้ายๆ ของการอุจจาระ อาจเกิดจากโรคริดสีดวงทวาร
อุจจาระมีสีดำเหมือนถ่าน โดยที่ไม่ได้กินยาบำรุงเลือดจำพวกธาตุเหล็ก แสดงว่าอาจจะมีเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้
อุจจาระสีเหลืองซีด อาจเกิดจากการอักเสบของลำไส้ หรือมะเร็งได้
ถ้าอุจจาระมีอาการทั้งหลายเหล่านี้ อย่าได้นิ่งนอนใจค่ะ พบแพทย์ด่วน
เอ ว่าแต่ . . . เช้านี้เพื่อนๆ ตรวจสุขภาพแล้วหรือยังคะ. . .?
นิสัยการกินส่งผลต่อสุขภาพ แต่ตอนกินอาจจะไม่ทันตั้งสติหรือไม่แน่ใจว่ากินอะไรเข้าไปบ้าง ไม่เป็นไรค่ะ เช้าวันรุ่งขึ้นก้มมองเสียหน่อยหลังปลดทุกข์หนักก็พอจะบอกได้ว่านิสัยการกินและสุขภาพของเจ้าของทุกข์นั้นเป็นอย่างไรบ้าง
เริ่มจากสังเกตสี และลักษณะ
ถ้าอุจจาระเป็นสีน้ำตาลดำ ลักษณะหนืดเหนียว จมน้ำ แสดงว่าคุณทานเนื้อสัตว์มาก
ถ้าคุณกินผักมาก อุจจาระจะเป็นสีเขียวขี้ม้า
ถ้าคุณกินมะละกอ อุจจาระก็จะออกสีแดงๆ
ถ้าคุณกินธัญพืชและข้าวซ้อมมือมาก อุจจาระจะออกสีน้ำตาลอ่อนและลอยน้ำได้
ถ้าถ่ายแล้วแสบก้น แสดงว่าคุณกินพริกมากเกินไป
ถ้ามีคราบไขมันลอย ให้สำรวจตัวเองว่าคุณกินอาหารมันเกินไปหรือเปล่า
ถ้าอุจจาระยังมีชิ้นส่วนที่บ่งบอกได้ว่ากินอะไรเข้าไป เช่น เศษมะเขือเทศ ข้าวฟ่างลอยเป็นเมล็ด ข้าวโพดที่ยังดูเป็นข้าวโพด แสดงว่าคุณน่าจะเคี้ยวอาหารให้ละเอียดขึ้นนะคะ
ตามธรรมชาติอุจจาระจะเปลี่ยนสีตามอาหารที่เรารับประทานเข้าไปอยู่แล้ว แต่ถ้าเมื่อไหร่สีของอุจจาระมีลักษณะหรือสีดังต่อไปนี้
มีเลือดสดๆ ปนในตอนท้ายๆ ของการอุจจาระ อาจเกิดจากโรคริดสีดวงทวาร
อุจจาระมีสีดำเหมือนถ่าน โดยที่ไม่ได้กินยาบำรุงเลือดจำพวกธาตุเหล็ก แสดงว่าอาจจะมีเลือดออกในกระเพาะอาหารและลำไส้
อุจจาระสีเหลืองซีด อาจเกิดจากการอักเสบของลำไส้ หรือมะเร็งได้
ถ้าอุจจาระมีอาการทั้งหลายเหล่านี้ อย่าได้นิ่งนอนใจค่ะ พบแพทย์ด่วน
เอ ว่าแต่ . . . เช้านี้เพื่อนๆ ตรวจสุขภาพแล้วหรือยังคะ. . .?
19.11.12
กระดูกพรุน From Eat Well, Stay Well
กระดูกพรุน From Eat Well, Stay Well
อะไรคือสาเหตุ
การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหลังหมดประจำเดือนอาจมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เพราะฮอร์โมนดังกล่าวช่วยในการดูดซึมแคลเซียม (ชายสูงอายุก็เกิดภาวะกระดูกพรุนได้แต่มักสูญเสียมวลกระดูกน้อยกว่า เพราะมีกระดูกหนาแน่นกว่า) ปัยจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การหมดประจำเดือนเร็ว ขาดการออกกำลังกายที่เน้นการรับน้ำหนักของกระดูก เช่น การเดิน และการขาดแคลเซียมและสารอาหารอื่นที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูก มีโครงสร้างกระดูกเล็ก (ผู้หญิงผิวขาวและผู้หญิงเอเชีย) น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ หรือหมดประจำเดือนแล้ว รวมทั้งคนที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเคยกินสเตียรอยด์หรือยากันชักมานาน
ภาวะนี้เป็นอย่างไร
กระดูกพรุน (osteoporosis) เป็นอาการที่มวลกระดูก (ส่วนที่เป็นแร่ธาตุ) ลดลงอย่างต่อเนื่องจนทำให้โครงสร้างกระดูกอ่อนแอ แตกหักง่าย ภาวะนี้เกิดกับผู้หญิงถึง 1 ใน 3 และผู้ชายจำนวนมาก แม้การใช้ฮอร์โมนทดแทนจะป้องกันภาวะนี้ได้ แต่ผู้หญิงมากมายไม่อยากใช้วิธีนี้ แม้ยังไม่มีมาตรการใดที่ป้องกันได้เต็มที่ แต่การกินสารเสริมอาหารและเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตจะช่วยลดการสูญเสียได้
สารเสริมอาหารช่วยได้อย่างไร
คู่มือฉลาดใช้ วิตามิน แร่ธาตุและสมุนไพร
สารเสริมอาหารที่แนะนำช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นเมื่อกินอย่างน้อย 6 เดือน โดยใช้ร่วมกับยารักษากระดูกพรุนและการบำบัดด้วยฮอร์โมน การกินสารเสริมอาหารสูตรบำรุงกระดูกอาจสะดวกกว่า แต่ต้องระวังหากกำลังกินยาป้องกันเลือดแข็งตัว เพราะอาจมีวิตามินเคที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่ายขึ้น...
ที่มา : readersdigest.co.th
อะไรคือสาเหตุ
การลดลงของฮอร์โมนเอสโตรเจนหลังหมดประจำเดือนอาจมีผลเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะกระดูกพรุน เพราะฮอร์โมนดังกล่าวช่วยในการดูดซึมแคลเซียม (ชายสูงอายุก็เกิดภาวะกระดูกพรุนได้แต่มักสูญเสียมวลกระดูกน้อยกว่า เพราะมีกระดูกหนาแน่นกว่า) ปัยจัยเสี่ยงอื่นๆ ได้แก่ การหมดประจำเดือนเร็ว ขาดการออกกำลังกายที่เน้นการรับน้ำหนักของกระดูก เช่น การเดิน และการขาดแคลเซียมและสารอาหารอื่นที่จำเป็นต่อการสร้างกระดูก มีโครงสร้างกระดูกเล็ก (ผู้หญิงผิวขาวและผู้หญิงเอเชีย) น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ หรือหมดประจำเดือนแล้ว รวมทั้งคนที่มีคนในครอบครัวเป็นโรคกระดูกพรุน หรือเคยกินสเตียรอยด์หรือยากันชักมานาน
ภาวะนี้เป็นอย่างไร
กระดูกพรุน (osteoporosis) เป็นอาการที่มวลกระดูก (ส่วนที่เป็นแร่ธาตุ) ลดลงอย่างต่อเนื่องจนทำให้โครงสร้างกระดูกอ่อนแอ แตกหักง่าย ภาวะนี้เกิดกับผู้หญิงถึง 1 ใน 3 และผู้ชายจำนวนมาก แม้การใช้ฮอร์โมนทดแทนจะป้องกันภาวะนี้ได้ แต่ผู้หญิงมากมายไม่อยากใช้วิธีนี้ แม้ยังไม่มีมาตรการใดที่ป้องกันได้เต็มที่ แต่การกินสารเสริมอาหารและเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตจะช่วยลดการสูญเสียได้
สารเสริมอาหารช่วยได้อย่างไร
คู่มือฉลาดใช้ วิตามิน แร่ธาตุและสมุนไพร
สารเสริมอาหารที่แนะนำช่วยให้กระดูกแข็งแรงขึ้นเมื่อกินอย่างน้อย 6 เดือน โดยใช้ร่วมกับยารักษากระดูกพรุนและการบำบัดด้วยฮอร์โมน การกินสารเสริมอาหารสูตรบำรุงกระดูกอาจสะดวกกว่า แต่ต้องระวังหากกำลังกินยาป้องกันเลือดแข็งตัว เพราะอาจมีวิตามินเคที่ทำให้เลือดแข็งตัวง่ายขึ้น...
ที่มา : readersdigest.co.th
29.10.12
มาตรวจสุขภาพ ประจำปีกันเถอะ
มาตรวจสุขภาพ ประจำปีกันเถอะ
หลังจากโหมงานมาหนักและตะลอนเที่ยวสมบุกสมบันกันเต็มที่ทั้งปี ถึงเวลาเสียทีที่จะพาร่างกายไปตรวจเช็ค เพื่อที่ปีหน้าฟ้าใหม่ จะได้มีแรงพลังสร้างผลกับงานเต็มที่โดยไม่มีภัยโรคมาสกัดดาวรุ่ง
สุดสัปดาห์คัดโรคที่กำลังติดอันดับคุกคามผู้หญิงไทยมาให้คุณได้รู้จัก ถ้าคุณมีอาการคลับคล้ายคลับคลาว่าใช่ ก็ไปพบคุณหมอได้เลย (รู้ไวก็มีโอกาสหายขาดไวเช่นกัน)
> มะเร็งช่องคลอดความจริงข้อหนึ่งของการเป็นโรคนี้ใช่ว่าจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเกิดจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงที่ชอบใส่กางเกงในผ้าไนลอนที่อับชื้นหรือชุดรัดรูป ซึ่งรวมถึงกางเกงยีนฟิตๆ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อราที่จุดซ่อนเร้น และอาจถึงขั้นเป็นมะเร็ง
> หลอดเลือดในสมองแตกความน่ากลัวของโรคนี้คือ วันนี้คุณอาจคุยกับใครคนหนึ่ง เดิน วิ่ง ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน แต่วันพรุ่งนี้เขาอาจต้องทนทุกข์ทรมานกลายเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ มีลมหายใจแต่ไร้ความรู้สึก เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราไปก็ได้
> ช็อกโกแลตซีสต์คือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ แพทย์เชื่อว่าเกิดจากเลือดระดูไหลย้อนกลับ คือแทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ ก็ไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูก แล้วเข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น ทำให้มีอาการปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน
> หลอดเลือดหัวใจตีบตัน / กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดโรคนี้เป็นได้ทุกเพศทุกวัย หากคุณมีไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายมีไขมันในเลือดสูงความดันเลือดสูง เบาหวาน อ้วน สูบบุหรี่ เครียด และไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจก็เสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย
> หูเสื่อมหนุ่มๆ สาวๆ ที่นิยมเที่ยวดิสโก้เธ็คแทบทุกคืน รวมถึงผู้ที่ทำงานใกล้กับเครื่องลำโพงขยายเสียง (วัดความดังเกิน 90 เดซิเบล) เช่น อาชีพหนุ่มสาวพริตตี้ หรือแม้แต่คนที่ชอบแวะงานอีเว้นท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตามที แต่หากสนใจเฉพาะเนื้องาน โดยไม่ระมัดระวังลำโพงตัวดีแล้วละก็ โอกาสของการเป็นโรคหูเสื่อมก็จะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หนุ่มๆ สาวๆ ที่รักการเที่ยวกลางคืนก็ควรเพลาๆ การเที่ยวลง หรือหากไปเที่ยว พึงเตือนตัวเองว่าอย่าเข้าใกล้ลำโพงที่มีเสียงดังมากๆ เพราะจะกระทบต่อการได้ยินได้ฟังได้
> หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทโรคนี้เป็นกันตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงสูงอายุ ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท เกิดได้กับหมอนรองกระดูกตั้งแต่ระดับกระดูกสันหลังส่วนคอจนถึงส่วนเอวแตก และมีส่วนไส้ของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนถอยหลังกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยปวดขาชา อ่อนแรง
> ไวรัสตับอักเสบซีกลุ่มเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างหลากหลาย แต่สำหรับผู้อ่าน สุดสัปดาห์ ที่นิยมการสัก การเจาะลายต่างๆ ตามผิวหนังรวมถึงเจาะหู ให้พึงระวังเรื่องความไม่สะอาด
The One & Only
นี่เป็นรายชื่อโรงพยาบาลรักษาเฉพาะด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยเลือกเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุดมากขึ้น
1. ศูนย์มะเร็งที่ตั้ง : ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลสมิติเวช รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง โทร. 0-2731-7000
2. โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพที่ตั้ง : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลหัวใจแห่งแรกในประเทศไทย ให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจให้ทัดเทียมต่างประเทศ โทร. 0-2310-3000 หรือ 1719
3. โรงพยาบาลมนารมย์ที่ตั้ง : โรงพยาบาลมนารมย์ ให้บริการดูแลรักษาเฉพาะทางสุขภาพจิตและจิตเวชอย่างครบวงจร โทร. 0-2725-9595
4. ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับที่ตั้ง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รักษาโรคตับ การเปลี่ยนตับ การปลูกถ่ายตับ การบริจาคตับ และการเปลี่ยนตับในประเทศไทย โทร. 0-2256-4286, 0-2256-4514
5. ศูนย์พิษวิทยาที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี หน่วยงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากสารเคมี ยาหรือสารพิษต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 0-2354-7272, 0-2201-1083
6. ศูนย์นารีรักษ์ที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี ศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิงที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัว รามาธิบดี อาคาร 1 ชั้น 2 โทร. 0-2201-1103
7. ฝ่ายเภสัชกรรมที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้บริการข่าวสาร ความรู้ บทความ และคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยา โทร. 0-2201-1271
8. โรงพยาบาลจักษุรัตนินที่ตั้ง : โรงพยาบาลจักษุรัตนิน โรงพยาบาลเฉพาะทางตาแห่งแรกของประเทศไทย ให้บริการรักษาโรคตาทุกชนิด โทร. 0-2639-3399
9. ศูนย์โรคกระดูกสันหลังกรุงเทพที่ตั้ง : ศูนย์โรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ โรงพยาบาลเจ้าพระยา ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพฯ โทร. 0-2884-7000 ต่อ 1141
10. โรงพยาบาลตา หู คอ จมูกที่ตั้ง : โรงพยาบาลตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคตา หู คอ จมูก และทันตกรรม โทร. 0-2886-6600 - 16
11. โรงพยาบาลยันฮีที่ตั้ง : โรงพยาบาลยันฮี ให้บริการศัลยกรรมความงามด้วยมือแพทย์ ตั้งอยู่เลขที่ 454 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 90 บางอ้อ บางพลัด กรุงเทพฯ โทร. 0-2879-0300
12. ศูนย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองและการนอนหลับที่ตั้ง : โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โทร. 0-2235-1000 - 7, 0-2634-0560 - 79 ต่อ 2685 - 6
13. คลินิคเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทางที่ตั้ง : โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำปรึกษาก่อนและหลังการเดินทางไปต่างประเทศ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค การป้องกันมาลาเรีย และการรักษา โทร. 0-2354-9100 ต่อ 1420
ที่มา : สุดสัปดาห์
หลังจากโหมงานมาหนักและตะลอนเที่ยวสมบุกสมบันกันเต็มที่ทั้งปี ถึงเวลาเสียทีที่จะพาร่างกายไปตรวจเช็ค เพื่อที่ปีหน้าฟ้าใหม่ จะได้มีแรงพลังสร้างผลกับงานเต็มที่โดยไม่มีภัยโรคมาสกัดดาวรุ่ง
สุดสัปดาห์คัดโรคที่กำลังติดอันดับคุกคามผู้หญิงไทยมาให้คุณได้รู้จัก ถ้าคุณมีอาการคลับคล้ายคลับคลาว่าใช่ ก็ไปพบคุณหมอได้เลย (รู้ไวก็มีโอกาสหายขาดไวเช่นกัน)
> มะเร็งช่องคลอดความจริงข้อหนึ่งของการเป็นโรคนี้ใช่ว่าจะเกิดจากการมีเพศสัมพันธ์บ่อยครั้งเพียงอย่างเดียว หากแต่ยังเกิดจากไลฟ์สไตล์ของผู้หญิงที่ชอบใส่กางเกงในผ้าไนลอนที่อับชื้นหรือชุดรัดรูป ซึ่งรวมถึงกางเกงยีนฟิตๆ ทำให้เสี่ยงต่อการติดเชื้อราที่จุดซ่อนเร้น และอาจถึงขั้นเป็นมะเร็ง
> หลอดเลือดในสมองแตกความน่ากลัวของโรคนี้คือ วันนี้คุณอาจคุยกับใครคนหนึ่ง เดิน วิ่ง ทำอะไรต่อมิอะไรด้วยกัน แต่วันพรุ่งนี้เขาอาจต้องทนทุกข์ทรมานกลายเป็นอัมพาต อัมพฤกษ์ มีลมหายใจแต่ไร้ความรู้สึก เป็นเจ้าหญิงหรือเจ้าชายนิทราไปก็ได้
> ช็อกโกแลตซีสต์คือโรคเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญเติบโตผิดที่ แพทย์เชื่อว่าเกิดจากเลือดระดูไหลย้อนกลับ คือแทนที่จะออกมาทางช่องคลอดตามปกติ ก็ไหลย้อนกลับเข้าไปผ่านทางหลอดมดลูก แล้วเข้าไปในช่องท้องไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำขึ้น ทำให้มีอาการปวดท้องมากเวลามีประจำเดือน
> หลอดเลือดหัวใจตีบตัน / กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดโรคนี้เป็นได้ทุกเพศทุกวัย หากคุณมีไลฟ์สไตล์ต่างๆ ที่ทำให้ร่างกายมีไขมันในเลือดสูงความดันเลือดสูง เบาหวาน อ้วน สูบบุหรี่ เครียด และไม่ออกกำลังกาย ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจก็เสี่ยงต่อโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดด้วย
> หูเสื่อมหนุ่มๆ สาวๆ ที่นิยมเที่ยวดิสโก้เธ็คแทบทุกคืน รวมถึงผู้ที่ทำงานใกล้กับเครื่องลำโพงขยายเสียง (วัดความดังเกิน 90 เดซิเบล) เช่น อาชีพหนุ่มสาวพริตตี้ หรือแม้แต่คนที่ชอบแวะงานอีเว้นท์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอะไรก็ตามที แต่หากสนใจเฉพาะเนื้องาน โดยไม่ระมัดระวังลำโพงตัวดีแล้วละก็ โอกาสของการเป็นโรคหูเสื่อมก็จะเกิดขึ้นได้ ด้วยเหตุนี้หนุ่มๆ สาวๆ ที่รักการเที่ยวกลางคืนก็ควรเพลาๆ การเที่ยวลง หรือหากไปเที่ยว พึงเตือนตัวเองว่าอย่าเข้าใกล้ลำโพงที่มีเสียงดังมากๆ เพราะจะกระทบต่อการได้ยินได้ฟังได้
> หมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนทับเส้นประสาทโรคนี้เป็นกันตั้งแต่วัยรุ่นไปจนถึงสูงอายุ ฉะนั้นจึงไม่ควรประมาท เกิดได้กับหมอนรองกระดูกตั้งแต่ระดับกระดูกสันหลังส่วนคอจนถึงส่วนเอวแตก และมีส่วนไส้ของหมอนรองกระดูกสันหลังเคลื่อนถอยหลังกดทับเส้นประสาทไขสันหลัง ทำให้ผู้ป่วยปวดขาชา อ่อนแรง
> ไวรัสตับอักเสบซีกลุ่มเสี่ยงของผู้ที่เป็นโรคนี้ค่อนข้างหลากหลาย แต่สำหรับผู้อ่าน สุดสัปดาห์ ที่นิยมการสัก การเจาะลายต่างๆ ตามผิวหนังรวมถึงเจาะหู ให้พึงระวังเรื่องความไม่สะอาด
The One & Only
นี่เป็นรายชื่อโรงพยาบาลรักษาเฉพาะด้าน เพื่อให้ผู้ป่วยเลือกเข้ารับการรักษาอย่างตรงจุดมากขึ้น
1. ศูนย์มะเร็งที่ตั้ง : ศูนย์มะเร็ง โรงพยาบาลสมิติเวช รักษาผู้ป่วยโรคมะเร็ง โทร. 0-2731-7000
2. โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพที่ตั้ง : โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ โรงพยาบาลหัวใจแห่งแรกในประเทศไทย ให้บริการรักษาผู้ป่วยโรคหัวใจให้ทัดเทียมต่างประเทศ โทร. 0-2310-3000 หรือ 1719
3. โรงพยาบาลมนารมย์ที่ตั้ง : โรงพยาบาลมนารมย์ ให้บริการดูแลรักษาเฉพาะทางสุขภาพจิตและจิตเวชอย่างครบวงจร โทร. 0-2725-9595
4. ศูนย์โรคตับและปลูกถ่ายตับที่ตั้ง : โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ รักษาโรคตับ การเปลี่ยนตับ การปลูกถ่ายตับ การบริจาคตับ และการเปลี่ยนตับในประเทศไทย โทร. 0-2256-4286, 0-2256-4514
5. ศูนย์พิษวิทยาที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี หน่วยงานที่ให้ข้อมูลเกี่ยวกับอันตรายจากสารเคมี ยาหรือสารพิษต่างๆ ตลอด 24 ชั่วโมง โทร. 0-2354-7272, 0-2201-1083
6. ศูนย์นารีรักษ์ที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี ศูนย์ช่วยเหลือผู้หญิงที่ได้รับความรุนแรงในครอบครัว รามาธิบดี อาคาร 1 ชั้น 2 โทร. 0-2201-1103
7. ฝ่ายเภสัชกรรมที่ตั้ง : โรงพยาบาลรามาธิบดี ให้บริการข่าวสาร ความรู้ บทความ และคำแนะนำเกี่ยวกับการใช้ยา โทร. 0-2201-1271
8. โรงพยาบาลจักษุรัตนินที่ตั้ง : โรงพยาบาลจักษุรัตนิน โรงพยาบาลเฉพาะทางตาแห่งแรกของประเทศไทย ให้บริการรักษาโรคตาทุกชนิด โทร. 0-2639-3399
9. ศูนย์โรคกระดูกสันหลังกรุงเทพที่ตั้ง : ศูนย์โรคกระดูกสันหลังกรุงเทพ โรงพยาบาลเจ้าพระยา ถนนบรมราชชนนี กรุงเทพฯ โทร. 0-2884-7000 ต่อ 1141
10. โรงพยาบาลตา หู คอ จมูกที่ตั้ง : โรงพยาบาลตา หู คอ จมูก โรงพยาบาลเชี่ยวชาญเฉพาะทางเกี่ยวกับโรคตา หู คอ จมูก และทันตกรรม โทร. 0-2886-6600 - 16
11. โรงพยาบาลยันฮีที่ตั้ง : โรงพยาบาลยันฮี ให้บริการศัลยกรรมความงามด้วยมือแพทย์ ตั้งอยู่เลขที่ 454 ซอยจรัญสนิทวงศ์ 90 บางอ้อ บางพลัด กรุงเทพฯ โทร. 0-2879-0300
12. ศูนย์ตรวจคลื่นไฟฟ้าสมองและการนอนหลับที่ตั้ง : โรงพยาบาลกรุงเทพคริสเตียน โทร. 0-2235-1000 - 7, 0-2634-0560 - 79 ต่อ 2685 - 6
13. คลินิคเวชศาสตร์ท่องเที่ยวและการเดินทางที่ตั้ง : โรงพยาบาลเวชศาสตร์เขตร้อน มหาวิทยาลัยมหิดล ให้คำปรึกษาก่อนและหลังการเดินทางไปต่างประเทศ การฉีดวัคซีนป้องกันโรค การป้องกันมาลาเรีย และการรักษา โทร. 0-2354-9100 ต่อ 1420
ที่มา : สุดสัปดาห์
27.10.12
ไมรัก ไม่เกลียด
ใครๆก็รักสุขเกลียดทุกข์กันทั้งนั้น ที่เรามุ่งแสวงหาทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ หรือเข้าวัดปฏิบัติธรรม ก็เพราะรักสุข ขณะเดียวกันการที่เรามีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกสบายอยู่รอบตัว ก็เพราะเกลียดทุกข์ กล่าวได้ว่าความรักสุขเกลียดทุกข์เป็นตัวผลักดันให้มนุษย์สร้างความเจริญก้าวหน้าอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้
แต่ความรักสุขเกลียดทุกข์บ่อยครั้งก็สร้างปัญหาให้แก่เราอยู่ไม่น้อย ทั้งๆที่เรามีความสุขสบายทางกายมากขึ้น แต่เหตุใดความสุขใจหาได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยไม่ กลับลดลงไปด้วยซ้ำ ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าขณะที่ความทุกข์กายของคนสมัยนี้ลดลงแต่ความทุกข์ใจกลับเพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะความรักสุขเกลียดทุกข์ที่ฝังแน่นในใจนั่นเอง
ความรักสุขจะไม่ก่อปัญหาแก่เราเลยหากว่าเมื่อดิ้นรนพากเพียรได้ความสุขมาครอบครองแล้ว ความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรานั้นล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากเราไป ยิ่งรักสุข รักทรัพย์ รักชื่อเสียง มากเท่าใด ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเมื่อมันหลุดลอยไปจากเรา คุณยายวัย 80 รักพลอยเม็ดงาม แต่เมื่อพบว่าพลอยหายไปเพราะหลานสาวเผลอกวาดลงถังขยะ ก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วย นักการเมืองท้องถิ่นมีความสุขมากเมื่อได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.สมใจ ไปไหนมาไหนก็มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง อยากเป็นสมัยที่สอง แต่เมื่อแพ้เลือกตั้งก็เป็นทุกข์จนเสียศูนย์ ไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะเพราะรู้สึกอับอาย ยิ่งได้ไปเยือนสถานที่ที่ตัวเองผลักดันก่อตั้ง แล้วพบว่าไม่มีใครมาห้อมล้อมเหมือนเคย ก็เสียใจร่ำไห้และเครียดจัดจนนอนไม่หลับ
จะว่าไปแล้วทันทีที่รักสุข อยากได้อะไรมาครอบครองให้สุขสบาย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นโดยพลัน เพราะเมื่ออยากได้อะไร ก็ย่อมมีความกลัวหรือวิตกกังวลว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น และตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ก็เป็นทุกข์เพราะรู้สึกพร่องหรือไม่สมหวัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่รักสุขซึ่งอยู่ข้างหน้า สุขที่มีอยู่เดิมก็หายไป มีความทุกข์มาแทนที่
ความเกลียดทุกข์ก็เช่นกัน แม้มันจะผลักดันให้เราหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเลยที่จะหนีความทุกข์พ้น ใช่หรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แต่เป็นเพราะเกลียดความแก่ความเจ็บ ดังนั้นเมื่อพบว่าผมหงอกผิวย่นหน้าตกกระ จึงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงไม่เพียงแต่ป่วยกายเท่านั้น ใจก็ป่วยด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ทำให้ทุกข์สองชั้น มิหนำซ้ำความทุกข์ใจนั้นยังฉุดกายให้ทรุดหนักกว่าเดิมด้วย บางคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ได้แค่สองสัปดาห์ก็ตายทั้งๆที่หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือน
บางคนรักความสงบ เวลาทำสมาธิจนจิตสงบ ก็เป็นสุขอย่างมาก แต่พอความสงบหายไป ทำเท่าไรความสงบก็ไม่กลับมา จึงเป็นทุกข์อย่างมาก บางครั้งกลับกลุ้มใจยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกันบางคนเกลียดเสียงรบกวน พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง หรือเสียงคนคุยกันขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกหงุดหงิดมาก เพ่งโทษและพุ่งความโกรธไปที่เสียงเหล่านั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ดังอะไรเลย แท้จริงแล้วเสียงไม่เป็นปัญหา ความรู้สึกเกลียดเสียงต่างหากที่เป็นปัญหา นี้ก็ไม่ต่างจากลิงที่เกลียดกะปิ หากกะปิเปื้อนมือมัน มันจะถูมือกับหินหรือเปลือกไม้จนเป็นแผลเลือดไหลซิบ ถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผล กะปิใช่ไหม เปล่าเลย ความเกลียดกะปิในใจลิงต่างหาก
นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์เวลาเกิดความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แต่อยู่ที่ความรู้สึกเกลียดที่มีต่ออาการเหล่านั้นต่างหาก ถ้าหากมองว่ามันเป็นธรรมดาของใจ หรือวางใจเป็นกลางต่ออาการเหล่านั้น ความทุกข์จะลดลงมาก ยิ่งผลักไสไล่ส่งมัน มันก็ยิ่งเป็นศัตรูกับเรา หาทางก่อกวนเราไม่เลิก แต่ทันทีที่ยอมรับมันหรือยิ้มรับมัน อย่างที่เราทำกับแขกผู้มาเยือน มันก็จะกลายมาเป็นมิตรกับเรา รบกวนเราน้อยลง และพร้อมจะจากไปในเวลาไม่นาน เหมือนอาคันตุกะที่รู้เวลาของตัวเอง
แม้เราจะรักความสุขมากมายเพียงใด ความสุขก็หาได้รักเราไม่ วันดีคืนดีความสุขก็จากเราไป ถึงจะกลับมาใหม่ ก็อยู่กับเราประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนความทุกข์นั้นแม้เราจะเกลียดเพียงใด แต่มันก็มักจะมาหาเราอยู่เสมอ ยิ่งพยายามหนีมัน มันก็ยิ่งเข้ามาพัวพัน เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ในทางตรงข้ามยิ่งรักอะไร ก็มักสูญเสียสิ่งนั้น หรือเหนื่อยกับการไล่ล่ามากขึ้นเพราะมันเอาแต่หนีห่างออกไป
ลองวางใจเป็นกลางต่อสุขและทุกข์ดูบ้าง สุขมาก็ไม่ยินดี ทุกข์มาก็ไม่ยินร้าย เมื่อได้รับคำชมก็ไม่ระเริง เมื่อถูกตำหนิก็ไม่ห่อเหี่ยว ยามสำเร็จก็ไม่ลิงโลด ยามล้มเหลวก็ไม่ซึมเซา แต่ถ้าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ ก็แค่รับรู้เฉย ๆ ด้วยใจเป็นกลาง ดีใจก็รู้ว่าดีใจ ไม่ไขว่คว้าคลอเคลีย เสียใจก็รู้ว่าเสียใจ ไม่ปฏิเสธผลักไส ถือว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่นานก็จะพบว่าพอไม่รักสุข สุขกลับมา พอไม่เกลียดทุกข์ ทุกข์กลับลาจาก แม้ทุกข์กายยังต้องเจออยู่ แต่ใจไม่ทุกข์ แม้เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสียไปด้วย
มาถึงตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า รักสุขไปเถิดถ้าคิดว่าสุขนั้นเที่ยง เกลียดทุกข์ไปเถิดถ้าคิดว่าหนีทุกข์พ้น แต่ถ้าหนีทุกข์ไม่พ้น ก็ควรเกลียดมันให้น้อยลง ยอมรับมันให้มากขึ้น และถ้าไม่แน่ใจว่าสุขที่มีนั้นเที่ยงแท้แน่นอน ก็ควรรักหรือหวงแหนมันให้น้อยลง
ที่มา : www.visalo.org
แต่ความรักสุขเกลียดทุกข์บ่อยครั้งก็สร้างปัญหาให้แก่เราอยู่ไม่น้อย ทั้งๆที่เรามีความสุขสบายทางกายมากขึ้น แต่เหตุใดความสุขใจหาได้เพิ่มขึ้นตามไปด้วยไม่ กลับลดลงไปด้วยซ้ำ ไม่ผิดหากจะกล่าวว่าขณะที่ความทุกข์กายของคนสมัยนี้ลดลงแต่ความทุกข์ใจกลับเพิ่มมากขึ้น สาเหตุสำคัญประการหนึ่งก็เพราะความรักสุขเกลียดทุกข์ที่ฝังแน่นในใจนั่นเอง
ความรักสุขจะไม่ก่อปัญหาแก่เราเลยหากว่าเมื่อดิ้นรนพากเพียรได้ความสุขมาครอบครองแล้ว ความสุขนั้นจะอยู่กับเราตลอดไป แต่ความจริงมีอยู่ว่า ความสุขหรือสิ่งที่ให้ความสุขแก่เรานั้นล้วนแล้วแต่ไม่เที่ยงทั้งนั้น ไม่ช้าก็เร็วมันก็ต้องจากเราไป ยิ่งรักสุข รักทรัพย์ รักชื่อเสียง มากเท่าใด ก็ยิ่งทุกข์มากเท่านั้นเมื่อมันหลุดลอยไปจากเรา คุณยายวัย 80 รักพลอยเม็ดงาม แต่เมื่อพบว่าพลอยหายไปเพราะหลานสาวเผลอกวาดลงถังขยะ ก็ถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับจนล้มป่วย นักการเมืองท้องถิ่นมีความสุขมากเมื่อได้รับเลือกเป็นนายก อบจ.สมใจ ไปไหนมาไหนก็มีบริวารล้อมหน้าล้อมหลัง อยากเป็นสมัยที่สอง แต่เมื่อแพ้เลือกตั้งก็เป็นทุกข์จนเสียศูนย์ ไม่กล้าปรากฏตัวในที่สาธารณะเพราะรู้สึกอับอาย ยิ่งได้ไปเยือนสถานที่ที่ตัวเองผลักดันก่อตั้ง แล้วพบว่าไม่มีใครมาห้อมล้อมเหมือนเคย ก็เสียใจร่ำไห้และเครียดจัดจนนอนไม่หลับ
จะว่าไปแล้วทันทีที่รักสุข อยากได้อะไรมาครอบครองให้สุขสบาย ความทุกข์ก็เกิดขึ้นโดยพลัน เพราะเมื่ออยากได้อะไร ก็ย่อมมีความกลัวหรือวิตกกังวลว่าจะไม่ได้สิ่งนั้น และตลอดเวลาที่ยังไม่ได้มันมา ก็เป็นทุกข์เพราะรู้สึกพร่องหรือไม่สมหวัง กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทันทีที่รักสุขซึ่งอยู่ข้างหน้า สุขที่มีอยู่เดิมก็หายไป มีความทุกข์มาแทนที่
ความเกลียดทุกข์ก็เช่นกัน แม้มันจะผลักดันให้เราหนีความทุกข์อยู่ตลอดเวลา แต่ไม่มีใครเลยที่จะหนีความทุกข์พ้น ใช่หรือไม่ว่าสักวันหนึ่งเราทุกคนก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ แต่เป็นเพราะเกลียดความแก่ความเจ็บ ดังนั้นเมื่อพบว่าผมหงอกผิวย่นหน้าตกกระ จึงทุกข์ใจเป็นอย่างมาก และเมื่อพบว่าตัวเองเป็นมะเร็ง จึงไม่เพียงแต่ป่วยกายเท่านั้น ใจก็ป่วยด้วย กลายเป็นการซ้ำเติมตัวเอง ทำให้ทุกข์สองชั้น มิหนำซ้ำความทุกข์ใจนั้นยังฉุดกายให้ทรุดหนักกว่าเดิมด้วย บางคนพอรู้ว่าเป็นมะเร็ง อยู่ได้แค่สองสัปดาห์ก็ตายทั้งๆที่หมอบอกว่ามีชีวิตอยู่ได้อีกสามเดือน
บางคนรักความสงบ เวลาทำสมาธิจนจิตสงบ ก็เป็นสุขอย่างมาก แต่พอความสงบหายไป ทำเท่าไรความสงบก็ไม่กลับมา จึงเป็นทุกข์อย่างมาก บางครั้งกลับกลุ้มใจยิ่งกว่าคนที่ไม่ได้ปฏิบัติธรรมด้วยซ้ำ ในทำนองเดียวกันบางคนเกลียดเสียงรบกวน พอได้ยินเสียงโทรศัพท์ดัง หรือเสียงคนคุยกันขณะนั่งสมาธิ จะรู้สึกหงุดหงิดมาก เพ่งโทษและพุ่งความโกรธไปที่เสียงเหล่านั้น ทั้งๆ ที่มันไม่ได้ดังอะไรเลย แท้จริงแล้วเสียงไม่เป็นปัญหา ความรู้สึกเกลียดเสียงต่างหากที่เป็นปัญหา นี้ก็ไม่ต่างจากลิงที่เกลียดกะปิ หากกะปิเปื้อนมือมัน มันจะถูมือกับหินหรือเปลือกไม้จนเป็นแผลเลือดไหลซิบ ถามว่าอะไรทำให้ลิงมีแผล กะปิใช่ไหม เปล่าเลย ความเกลียดกะปิในใจลิงต่างหาก
นักปฏิบัติธรรมจำนวนไม่น้อยมีความทุกข์เวลาเกิดความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แท้จริงแล้วปัญหาไม่ได้อยู่ที่ความฟุ้งซ่านหรือความเครียด แต่อยู่ที่ความรู้สึกเกลียดที่มีต่ออาการเหล่านั้นต่างหาก ถ้าหากมองว่ามันเป็นธรรมดาของใจ หรือวางใจเป็นกลางต่ออาการเหล่านั้น ความทุกข์จะลดลงมาก ยิ่งผลักไสไล่ส่งมัน มันก็ยิ่งเป็นศัตรูกับเรา หาทางก่อกวนเราไม่เลิก แต่ทันทีที่ยอมรับมันหรือยิ้มรับมัน อย่างที่เราทำกับแขกผู้มาเยือน มันก็จะกลายมาเป็นมิตรกับเรา รบกวนเราน้อยลง และพร้อมจะจากไปในเวลาไม่นาน เหมือนอาคันตุกะที่รู้เวลาของตัวเอง
แม้เราจะรักความสุขมากมายเพียงใด ความสุขก็หาได้รักเราไม่ วันดีคืนดีความสุขก็จากเราไป ถึงจะกลับมาใหม่ ก็อยู่กับเราประเดี๋ยวประด๋าว ส่วนความทุกข์นั้นแม้เราจะเกลียดเพียงใด แต่มันก็มักจะมาหาเราอยู่เสมอ ยิ่งพยายามหนีมัน มันก็ยิ่งเข้ามาพัวพัน เคยสังเกตไหมว่า ยิ่งเกลียดอะไร ก็ยิ่งเจอสิ่งนั้น ในทางตรงข้ามยิ่งรักอะไร ก็มักสูญเสียสิ่งนั้น หรือเหนื่อยกับการไล่ล่ามากขึ้นเพราะมันเอาแต่หนีห่างออกไป
ลองวางใจเป็นกลางต่อสุขและทุกข์ดูบ้าง สุขมาก็ไม่ยินดี ทุกข์มาก็ไม่ยินร้าย เมื่อได้รับคำชมก็ไม่ระเริง เมื่อถูกตำหนิก็ไม่ห่อเหี่ยว ยามสำเร็จก็ไม่ลิงโลด ยามล้มเหลวก็ไม่ซึมเซา แต่ถ้าอาการดังกล่าวเกิดขึ้นกับใจ ไม่ว่าบวกหรือลบ ก็แค่รับรู้เฉย ๆ ด้วยใจเป็นกลาง ดีใจก็รู้ว่าดีใจ ไม่ไขว่คว้าคลอเคลีย เสียใจก็รู้ว่าเสียใจ ไม่ปฏิเสธผลักไส ถือว่าต่างคนต่างอยู่ ไม่นานก็จะพบว่าพอไม่รักสุข สุขกลับมา พอไม่เกลียดทุกข์ ทุกข์กลับลาจาก แม้ทุกข์กายยังต้องเจออยู่ แต่ใจไม่ทุกข์ แม้เสียทรัพย์ แต่ใจไม่เสียไปด้วย
มาถึงตรงนี้ก็อยากจะบอกว่า รักสุขไปเถิดถ้าคิดว่าสุขนั้นเที่ยง เกลียดทุกข์ไปเถิดถ้าคิดว่าหนีทุกข์พ้น แต่ถ้าหนีทุกข์ไม่พ้น ก็ควรเกลียดมันให้น้อยลง ยอมรับมันให้มากขึ้น และถ้าไม่แน่ใจว่าสุขที่มีนั้นเที่ยงแท้แน่นอน ก็ควรรักหรือหวงแหนมันให้น้อยลง
ที่มา : www.visalo.org
18.10.12
กลาก..เกลื้อน..และโรคเชื้อราบนผิวหนัง
ปัญหากวนตัวกวนใจที่เกิดขึ้นได้ผู้หญิงและผู้ชาย
เมื่อเกิดแล้วก็จะสร้างความรำคาญคันไม่รู้จักหยุดจักหย่อนจนต้องเกาๆๆๆ นั่นคือ
กลาก เกลื้อน และโรคเชื้อราบนผิวหนัง...
โรคเชื้อราบนผิวหนัง เป็นโรคที่สามารถจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้แถมยังฮิตติดอันดับเป็นที่รู้จักกันดีทุกยุคทุกสมัย ฉะนั้นทุกคนควรให้ความสำคัญเรื่องการทำความสะอาดร่างกายเป็นพิเศษ เพราะผิวพรรณเปรียบเสมือนประตูด่านแรกที่ผู้คนรอบข้างคุณจะพบเห็นนะคะ ถ้ามีสิ่งแปลกปลอมเกิดขึ้นบนผิวหนัง หมอขอแนะนำว่า ควรรีบหาทางรักให้หายโดยเร็วที่สุด ดังนั้นก่อนอื่นคุณควรทราบถึงสาเหตุของการเกิดโรคผิวหนัง และรู้ถึงวิธีการรักษาที่ถูกต้องด้วยโรคที่พบกันบ่อยมาก เช่น กลาก เกลื้อน นอกจากนี้ยังอาจมีโรคเชื้อราบนผิวหนังชนิดอื่น ๆ ที่พบได้บ้าง เช่น การติดเชื้อแคนดิดา (Candida) กลาก (Dermatophytosis) เป็นโรคที่เกิดจากเชื้อราชนิดหนึ่งเจ้านี่เขาฮิตติดอันดับเชียวนะ เคยได้ยินไหมคะว่าลามเป็นขี้กลากนั่นแหละ วันดีคืนดีเจ้านี่อาจจะมาเยี่ยมเยือนคุณได้ หากไม่ระมัดระวังความสะอาดของร่างกาย และพบได้ในทุกเพศทุกวัย การติดเชื้อกลากจะเกิดขึ้นที่ผิวหนังชั้นนอกสุด โดยมันสามารถเกิดได้ตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย ดังนี้
1. โรคกลากทีหนังศีรษะและเส้นผม
การสระผมมีส่วนนะคะ สระเสร็จแล้วควรเช็ดให้แห้งโดยเฉพาะก่อนนอน หากผมไม่แห้งมักทำ
ให้ผมบริเวณที่อับชื้นเกิดการติดเชื้อทำให้ร่วงเป็นหย่อม ๆ
ถ้าเป็นมากจะกลายเป็นตุ่ม หนอง เรียกว่า ชันนะตุ มักพบมากในเด็ก
สามารถติดต่อกันได้ง่ายในหมู่เด็กที่เล่นคลุกคลีกัน
โดยอาจจะติดต่อกันได้จากการใช้สิ่งของร่วมกัน เช่น ผาปูที่นอน หมอน ผ้าเช็ดตัว
และหวี เป็นต้นดังนั้นควรระวังลูกหลานหน่อยนะคะ อ้อ !
แล้วอย่าลืมดูแลตัวคุณเองด้วยนะคะ
2. โรคกลากที่ลำตัว และใบหน้า
จะเป็นชนิดที่พบบ่อยที่สุด มักเห็นเป็นดวงรูปวงแหวนสีแดง มีขุยขาว ๆ
มีอาการคันหรืออาจไม่คันก็ได้ ถ้าเป็นแล้วทิ้งไว้นานผื่นจะขยายออกเรื่อย ๆ
จนดูไม่น่ามอง
3. โรคกลากที่ขาหนีบ หรือสมัยก่อนจะเรียกว่า
สังคัง ซึ่งคันมาก มักพบเมื่อมีอายุเข้าสู่วัยรุ่น
ส่วนมากจะพบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงเริ่มจากเป็นตุ่มแดง ๆ ที่ต้นขาหรือขาหนีบ
เกิดจากการอับชื้นของบริเวณขาหนีบ โดยมากจะรับเชื้อมาจากการใช้ผ้าเช็ดตัว
ชุดชั้นใน และเสื้อผ้าร่วมกับผู้เป็นโรคเชื้อรา ฉะนั้นอย่าใช้ของใครเป็นดีที่สุด
และอาบน้ำเสร็จเช็ดตัวให้แห้งสนิทด้วย
4. โรคกลากที่มือและเท้า โรคกลากที่เท้าเกือบทั้งหมดพบในผู้ที่สวมรองเท้าหุ้มส้น
เพราะเกิดจากการอบของรองเท้า ทำให้มีเหงื่อออกมาก
และเท้าที่แช่ในน้ำไม่สะอาดหรือลุยน้ำท่วม โดยเฉพาะบริเวณนิ้วเท้า
เชื้อราจะเติบโตง่ยเนื่องจากเป็นส่วนที่อับชื้น แปลกนะคะ
ส่วนใหญ่ไม่ค่อยสนใจตามง่ามนิ้วเท้าของตัวเอง ส่วนกลากที่มือมักเกิดจากการติดเชื้อจากกลากที่เท้าเนื่องจากคันแล้วก็ต้องเกาค่ะ
5. โรคกลากที่เล็บ
โรคกลากชนิดนี้จะติดมาจากโรคกลากที่มือ และเท้า โดยมากแล้วเนื้อรอบ ๆ เล็บจะปกติ
ส่วนใหญ่จะเป็นที่ปลายเล็บก่อน สังเกตได้ง่ายค่ะ ปลายเล็บจะล่อนจากเนื้อข้างใน
และหนาขึ้น หรือแตกล่อนเป็นแผ่น มักมีสีเหลืองหรือดำคล้ำ
หรืออาจจะเริ่มจากโคนเล็บจะมีลักษณะขุ่นขาวและล่อน อาจจะเป็นเฉพาะผิวของเล็บ
เนื้อเล็บส่วนนั้นจะยุ่ยและมีกลิ่นกลิ่นเหม็น จนดูน่ารังเกียจนะคะ
เมื่อเริ่มมีอาการของโรค ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญทำการรักษา อย่าปล่อยให้โรคลุกลามขยายวงกว้างนะคะ
เพราะจะทำให้คุณรู้สึกรำคาญ และหงุดหงิดหัวใจได้ สำหรับยาที่แพทย์ใช้รักษา
ทั้งยารับประทานและยาทา ควรใช้ยาอย่างต่อเนื่องตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด
และเมื่อหายแล้วควรใช้ยาต่อไปอีกระยะหนึ่ง
เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กลับมาเป็นอีกซ้ำสอง
การป้องกันโรคอยู่ที่การปฏิบัติตัวและการรักษาความสะอาดของร่างกาย
โดยอาบน้ำทุกวันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง และควรเช็ดตัวให้แห้ง รวมทั้งป้องกันไม่ให้เกิดความอับชื้นในบริเวณต่าง
ๆ ของร่างกาย เช่น ที่เท้า ขาหนีบ และข้อควรจำนะคะ
ไม่ใช้ของร่วมกับผู้ป่วยที่เป็นโรคนี้ แล้วกลากก็จะไม่มาเยือนคุณ เกลื้อน (Tinea versicolor) เป็นโรคผิวหนังที่แตกต่างจากโรคกลาก
เกิดจากการติดเชื้อเกลื้อนที่ผิวหนังชั้นนอกสุด ทำให้ผิวหนังเกิดเป็นด่างดวง
บริเวณที่เป็นโรคมักมีสีอ่อนกว่าสีผิวหนังเดิม หรืออาจเป็นสีน้ำตาล
พบได้บ่อยในคนหนุ่มสาว โดยเฉพาะในผู้ที่ใส่เสื้อผ้าที่อบ มีเหงื่อออกมาก
หรือผิวมันในระยะ เริ่มแรกจะปรากฏเป็นดวงเล็ก ๆ
ต่อมาจะเพิ่มจำนวนขึ้นเป็นหลายดวงได้ หรืออาจรวมตัวกันขยายเป็นปืนใหญ่
โดยมากเกลื้อนไม่ทำให้มีอาการคัน แต่บางครั้งก็อาจมีอาการคันเกิดขึ้นได้
และหากอาการคันนั้นเกิดขึ้นในที่สาธารณะ คุณคิดดูแล้วกันว่าคุณจะทำอย่างไร
เมื่อสงสัยว่าจะติดเชื้อเกลื้อน ควรพบแพทย์ผิวหนังโดยเฉพาะเพื่อทำการวินิจฉัย
อย่าอายนะคะ ส่วนมากจะไปซื้อยามาทาเอง หายบ้างไม่หายบ้าง หรือเป็น ๆ หาย ๆ
หากพบว่าเป็นเกลื้อน
การรักษาโดยทั่วไปจะใช้ยาทา
ยารับประทาน สบู่หรือยาฟอก หรือในบางรายแพทย์อาจจะใช้ขี้ผึ้ง
หรือครีมที่รักษาเกลื้อนทา แล้วแต่ความเหมาะสมของผู้ที่เป็น
ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ลักษณะของยาที่ใช้รักษาก็จะมี
1. ยาทา ก็จะมียานา 20-250% กลุ่มโซเดียมโอซัลเฟต
ใช้ทาทุกวันภายหลังการอาบน้ำ ยานี้จะใช้กันมานาน มีราคาถูกและได้ผลดี
วิธีใช้คือทายาให้ทั่ว หลังอาบน้ำทุกวัน
เพื่อป้องกันารกระจายของเชื้อเกลื้อนนอกจากนี้ยังมียาครีมกลุ่มอิมิดาโซล
ก็ได้ผลดีเช่นกัน โดยทาต่อเนื่อง ประมาณ 2-4 สัปดาห์
2. ยารับประทาน
ต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เท่านั้น โดยทั่วไปการรักษาเกลื้อนด้วยยาทาก็ได้ผลดีแล้วยกเว้นในผู้ที่เป็น
ๆ หาย ๆ อาจป้องกันได้โดยการใช้รับประทานยา
3. สบู่หรือยาฟอก ในกลุ่มซิลีเนียมซัลไฟด์
และกลุ่มอิมิดาโซล โดยฟอกทิ้งไว้ 10 นาที แล้วล้างออก วันละ 2 ครั้ง
ใช้เวลาในการรักษา นาน 2- 4 สัปดาห์
การป้องกันการติดเชื้อเกลื้อนเป็นเรื่องทำได้ไม่ยากหรอกนะคะ
เพียงแต่คุณรักษาความสะอาดของร่างกาย และเสื้อผ้าอยู่เสมอ
อย่าใส่เสื้อผ้าที่อับเหงื่อนาน ๆ และข้อสำคัญ
ถ้าอาบน้ำแล้วให้เปลี่ยนเสื้อใหม่อย่าใส่ตัวเดิมที่อับเหงื่อ
โรคเชื้อราบนผิวหนังชนิดอื่น ๆ การติดเชื้อ Candida ซึ่งจัดเป็นเชื้อราอีกชนิดหนึ่ง เกิดขึ้นบริเวณผิวหนังชั้นนอก
มักพบบริเวณที่อับชื้น เช่น รอบทวารหนัก งามก้น ขาหนีบ รักแร้ ซอกคอใต้ราวนม
บริเวณที่ติดเชื้อมีลักษณะแดงก่ำ ขอบเขตชัดเจนและมีเม็ดสีแดงเล็ก ๆ กระจายอยู่รอบ
ๆ เมื่อรู้สึกว่ามีอาการผิดปกติ ควรรีบไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโดยเร็วนะคะ เพื่อทำการรักษาอย่าปล่อยให้โรคลุกลาม
การรักษาโดยมากจะใช้ยาทาหรือสบู่ยาฟอก
ซึ่งขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ว่าควรใช้อะไรกำจัดเจ้าเชื้อราตัวยุ่งค่ะ
คุณควรทำความสะอาดร่างกายอย่างสม่ำเสมอนะคะ
เพื่อป้องกันการติดเชื้อและควรระมัดระวังอย่าให้ผิวหนังอับชื้น ห้ามใช้สิ่งของหรือเสื้อผ้าร่วมกับผู้ที่เป็นโรค
ควรใส่เสือผ้าที่ซักสะอาดแล้วทุกครั้ง และเมื่อรักษาหายแล้ว
ก็ควรดูแลร่างกายให้สะอาดอย่างสม่ำเสมอ
เพื่อจะได้ไม่กลับมาเป็นให้อับอายขายหน้าอีกนะคะ คุณจะเห็นว่าโรคผิวหนัง
เมื่อเป็นแล้วไม่ว่าจะเป็นโรคกลากเกลื้อน หรือเชื้อราชนิดอื่นๆ
หากได้รับการรักษาและดูแลอย่างต่อเนื่อง โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนัง
และคุณใส่ใจดูแลป้องกันตัวเองตามคำแนะนำของแพทย์อย่างสม่ำเสมอ
คุณก็จะมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ปลอดภัยจากโรค
ทำอย่างไรให้ฟันขาว
ฟันคนเราปกติจะมีสีขาวเป็นมันวาว
แต่บางคนจะมีฟันเหลือง หรือดำ คล้ำ แลดูไม่สวยงาม โดยอาจจะเป็นเพียงบางซี่
หรือทุกๆ ซี่ก็ได้
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ฟันคนเราไม่ขาวก็จะมาจากหลายสาเหตุด้วยกัน
การที่คนเรารับประทานอาหาร หรือดื่มเครื่องดื่มที่มีสี
เป็นประจำ เช่น ชา กาแฟ การอมลูกอม สูบบุหรี่ ร่วมกับการที่เราแปลงฟันไม่สะอาดพอ
จึงทำให้มีคราบอาหาร คราบแบคทีเรีย และหินปูน มาเกาะติดสะสมทีละน้อยๆ
จนเห็นเป็นสีเหลือง สีน้ำตาล หรือสีดำติดตามซอกฟัน
เกิดจากฟันผุ ซึ่งมักจะมีสีเหลืองเข้ม
หรือสีน้ำตาล โดยเฉพาะฟันที่อยู่ด้านหน้าทำให้ มองเห็นได้ชัดเจน
เกิดจากฟันตาย ซึ่งหมายถึง
ฟันที่ไม่มีเลือด และประสาทฟันมาหล่อเลี้ยงทำให้ฟันมีสี ทึบ
ไม่โปร่งเหมือนฟันที่มีชีวิตอยู่ ซึ่งจะเกิดขึ้นกับฟันที่ผุมากๆ
และทิ้งไว้เป็นระยะเวลานาน จนฟันผุลุกลามถึงโพรงประสาทฟัน
หรืออาจเกิดขึ้นกับฟันที่ได้รับอุบัติเหตุ หรือถูกกระแทกอย่างแรง
จนมีการฉีกขาดของเส้นเลือดที่มาหล่อเลี้ยงฟัน เมื่อทิ้งไว้นานๆ
โดยไม่มีการดึงประสาทฟันออก ฟันจะยิ่งมีสีคล้ำมากขึ้น
ฟันมีสีผิดปกติมาตั้งแต่กำเนิด เนื่องมาจากโรคบางอย่าง
หรือการได้รับยาบางชนิด มากเกินไป เช่น ยาเตตราซัยคริน ซึ่งการกินยาตัวนี้
จะมีผลต่อสีของฟัน โดยเฉพาะในช่วงที่มีการก่อตัวหรือสร้างฟันเท่านั้น คือ ฟันน้ำนม
ในเด็กอายุ 3-9 เดือน และฟันแท้ในเด็กอายุ 3-12
ปี
ทำให้ฟันแทบทุกซี่มีสีค่อนข้างเหลือง หรือเป็นสีเทาดำ นอกจากนี้อาจเกิดจากการได้รับฟลูออไรด์มากเกินไป
จะมีจุดสีน้ำตาลบนฟัน ที่เรียกว่า ฟันตกกระ
วิธีที่จะทำให้ฟันขาวนั้นมีอยู่หลายวิธี ขึ้นอยู่กับสาเหตุ
และลักษณะของสีฟันที่ผิดปกติไป
วิธีแรกที่ง่ายมากก็คือ การแปรงฟันให้สะอาดอย่างทั่วถึงหลังอาหารทุกมื้อร่วมกับการไปพบทันตแพทย์อย่างสม่ำเสมอเพื่อขูดหินปูนและขัดฟัน
ซึ่งการขัดฟันจะไม่ทำให้ฟันบางลงอย่างที่บางคนเข้าใจ
ถ้าเกิดการมีฟันผุก็จัดการให้เรียบร้อย ในฟันหน้าทันตแพทย์จะกรอส่วนที่ผุ มีสีดำ
หรือสีเหลืองออก แล้วอุดด้วยวัสดุที่มีสีเหมือนฟัน เท่านี้ ฟันก็จะมีสีขาวสะอาดได้เหมือนปกติ
วิธีที่สองคือ การฟอกสีฟันทั้งปาก
ได้รับความนิยมจากบุคคลทั่วไป และมีการวิวัฒนาการของยาที่ฟอกสีฟัน
ทำให้ใช้ได้สะดวกและมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การฟอกสีฟันทั้งปาก ทำได้ 2
วิธี
คือ
- วิธีแรก เป็นวิธีที่จะต้องทำในคลินิก
โดยทันตแพทย์จะเป็นผู้ทำ โดยใช้สารฟอกสี ซึ่งส่วนใหญ่ คือ สารประเภท Peroxide ที่มีความเข้มข้น
30-35 % ระยะเวลาในการทำในแต่ละครั้ง
คือประมาณ 30 นาที - 1 ชั่วโมง
- วิธีที่สอง คือ คนไข้สามารถนำสารฟอกสีกลับไปทำเองได้ที่บ้าน
โดยทันตแพทย์จะเตรียมอุปกรณ์ให้
แต่คนไข้ต้องกลับมาตรวจเป็นระยะตามที่ทันตแพทย์นัดสารฟอกสีที่ใช้ก็จะเป็นประเภทเดียวกับที่ทำในคลีนิค
แต่จะมีความเข้มข้น น้อยกว่า คือ ประมาณ 2-10% ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัย
วิธีฟอกก็ไม่ยาก เพียงแต่บีบสารฟอกสีลงในถาดฟันยางที่ทันตแพทย์ทำเฉพาะไว้สำหรับแต่ละคน
จำนวนน้ำยาที่ใส่ลงในถาดก็ประมาณเพียง 1 ใน 3 ของถาด แล้วสวมฟันยางไว้ วันละ 1-2
ชม.
ทุกวันและจะต้องกลับไปพบทันตแพทย์ตามกำหนด
ระยะเวลาที่ใช้นั้นมักขึ้นอยู่กับสีและคราบคล้ำของฟัน ถ้าฟันมีสีเหลืองไม่มากก็อาจจะ
ฟอกให้ขาวได้ในเวลา 2-3 สัปดาห์ แต่ถ้าหากฟันมีสีเหลืองเข้ม
หรือสีเทาอ่อนก็อาจจะต้องฟอกให้ขาวนานพอสมควร หรือใช้เวลาในการฟอกมากขึ้นเป็น 4-5
สัปดาห์
การฟอกสีฟัน เมื่อฟอกแล้วสีกลับมาเหมือนเดิมหรือไม่นั้นขึ้นอยู่กับสภาพก่อนฟอก
ถ้าเดิมสีค่อนข้างคล้ำ โอกาสคืนกลับสู่สีเดิมจะเป็นไปได้สูง ในเวลา 1-2
ปี
แต่การฟอกสีฟันที่สีเหลืองอ่อน จะขาวได้นานประมาณ 3-4 ปี
ทั้งนี้ต้องขึ้นกับความระมัดระวังป้องกันการติดสีจากคราบอาหารด้วย
และเมื่อสีฟันคล้ำลงอีกก็สามารถใช้ยาฟอกสีฟันซ้ำได้อีก
วิธีอื่นๆ ที่จะทำแบบถาวรก็มี เช่น
- การทำเคลือบฟัน โดยทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันด้านหน้าออกเล็กน้อย
แล้วปิดทับด้วยวัสดุอุดสีขาว หรือสีเหมือนฟัน ตบแต่งให้ได้รูปร่างสวยงาม ซึ่งวิธีนี้
จะทำให้ฟันขาวค่อนข้างถาวรกว่าการฟอกสี แต่ก็ยังมีโอกาสเสื่อมได้ คือ
อาจจะมีรอยแตก กะเทาะของวัสดุที่ทำเคลือบเมื่อใช้ไม่ระมัดระวัง
แต่สามารถซ่อมแซมหรือทำใหม่ได้ไม่ยากนัก
แต่วิธีนี้โดยทั่วไปค่าใช้จ่ายก็จะแพงกว่าการฟอกสีฟัน
นอกจากนี้ก็ยังมีอีกวิธีหนึ่ง คือ
- การทำครอบฟัน ทันตแพทย์จะกรอแต่งผิวเคลือบฟันออกทั้งซี่
ให้เหลือเป็นแกนแล้ว ทำฟันปลอมครอบทับลงไปติดแน่นด้วยซีเมนต์ทันตกรรม
ฟันที่ดำหรือแตก บิ่น สารมารถทำครอบที่มีสีและรูปร่างให้สวยงามได้ดี
จึงถือว่าเป็นการเปลี่ยนสีฟันได้อย่างถาวร
แต่ค่าใช้จ่ายจะแพงกว่าการทำเคลือบฟัน และการฟอกสีฟัน
สาเหตุของกลิ่นปาก และวิธีแก้ไข
กลิ่นเหม็นที่เกิดจากปาก
เกิดขึ้นได้เหมือนกันกับกลิ่นเหม็นที่เกิดจากส่วนอื่นๆ ของร่างกายมนุษย์
โดยเป็นผลมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในช่องปากย่อยสลายเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ตามส่วนต่างๆ
ของช่องปาก...
สาเหตุจากแบคทีเรีย และเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก ทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น
สาเหตุจากแบคทีเรีย และเศษอาหารที่ตกค้างอยู่ในช่องปาก ทำให้เกิดการเน่าเสียของเศษอาหาร จึงมีผลให้เกิดกลิ่นเหม็นขึ้น
กลิ่นเหม็นในช่องปากสามารถแยกออกได้
4
แบบ
คือ
1.
กลิ่นที่เกิดจากฟัน
2.
กลิ่นที่เกิดจากโรคปริทันต์และซอกเหงือก
3.
ที่เกิดจากด้านหลังของลิ้น
4.
กลิ่นที่เกิดจากการสูบบุหรี่
กลิ่นปากที่มักจะพบมากที่สุดในช่องปากคือ ที่ร่องเหงือก ลิ้น
ครอบฟันบริเวณที่อุดฟัน โรคปริทันต์ ฟันที่ผุรูกว้าง
ฟันปลอมชนิดถอดได้ซึ่งมีเศษอาหารตกค้าง การหลั่งของน้ำลายมากหรือน้อย
และในคนสูบบุหรี่ กลิ่นปากเกิดจากหลายสาเหตุ ทั้งจากภายในช่องปากและนอกช่องปาก
กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากภายในช่องปาก
ได้แก่- แผลในช่องปาก เช่น ซิฟิลิส เนื้องอก
แผลที่เกิดขึ้นหลังการถอนฟันหรือแผลที่เกิดจากการผ่าตัดในช่องปาก-
ฟันผุที่เศษอาหารสามารถตกค้างสะสมอยู่ในรูร่องฟัน ทะลุโพรงประสาทฟัน
และมีหนองเกิดขึ้นที่ปลายรากฟัน- โรคปริทันต์ที่ลุกลาม
ทำให้เกิดการทำลายอวัยวะรอบฟันเป็นที่สะสมของเศษอาหาร- ผู้ที่ใส่ฟันปลอม
หรือเครื่องมือต่างๆ ในช่องปาก เช่น เฝือกสบฟัน เครื่องมือจัดฟัน หรือ
เครื่องมือกันฟันล้ม ที่รักษาความสะอาดได้ไม่ดีพอ จะทำให้เกิดกลิ่นในช่องปาก-
น้ำลาย
ซึ่งในช่องปากของคนเรามีน้ำลายเป็นเสมือนน้ำยาบ้วนปากที่ธรรมชาติให้มาเพื่อช่วยชะล้างสิ่งสกปรก
กลิ่นปากเมื่อในช่องปากมีน้ำลายหลั่งออกมากช่องปากก็จะสะอาดมากกว่าน้ำลายที่หลั่งออกมาน้อย
เนื่องจากน้ำลายจะช่วยลดการบูดเน่าของอาหารที่ทำให้เกิดกลิ่น
โดยปกติน้ำลายจะหลั่งออกมาได้มากขณะเคี้ยวอาหาร รับประทานของเปรี้ยว
การคิดถึงอาหารที่อร่อย หรืออาหารที่ชอบมากๆ
แต่ในบางขณะจะมีการหลั่งน้ำลายออกมาได้น้อย เช่น ขณะนอนหลับ ภาวะการอดอาหาร
การดื่มน้ำไม่เพียงพอ อากาศร้อน ภาวะทางจิตใจ ความเครียด การเจ็บป่วยด้วยโรค
ตลอดจนอาชีพที่ใช้เสียงมากๆ เช่น ครู ทนายความ มีผลให้มีน้ำลายน้อย
และมีกลิ่นปากได้- ลิ้น บางครั้งกลิ่นเหม็นจากช่องปาก
สามารถเกิดได้จากบริเวณโคนลิ้นด้านในสุด
เนื่องจากบริเวณนี้มีน้ำเมือกในช่องจมูกไหลลงสู่คอ ซึ่งภาวะเช่นนี้
ไม่จำเป็นว่าจะต้องเกิดจากการเจ็บป่วยด้วยโรค แต่มักมีสาเหตุมาจากอาการภูมิแพ้
ซึ่งอาการนี้จะทำให้มีน้ำเมือกจากช่องจมูกไหลลงคอในระยะแรกๆ
แต่อาการนี้จะไม่ทำให้เกิดกลิ่นปากในระยะแรกๆ แต่เมื่อทิ้งระยะไว้สัก 2-3
วัน
แบคทีเรียในช่องปากจะย่อยน้ำเมือกทำให้เกิดกลิ่น
เราสามารถทดสอบกลิ่นนี้ได้โดยใช้ช้อนพลาสติกขูดเบาๆ ที่ด้านในสุดของโคนลิ้น
ปล่อยทิ้งไว้สักครู่จึงดมกลิ่นดู
โดยปกติคนที่มีกลิ่นปากจากสาเหตุนี้
เวลาเป่าปากจะไม่ค่อยได้กลิ่น แต่จะได้กลิ่นเหม็นเมื่อเริ่มพูด
เนื่องจากมีลมผ่านลิ้นที่เคลื่อนไหวจึงทำให้เกิดกลิ่นขึ้นมา ดังนั้น
จึงควรแก้ไขด้วยการแปรงลิ้นหลังการแปรงฟันทุกครั้ง และแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น
จะช่วยทำความสะอาดน้ำเมือกที่ตกค้างอยู่ในช่องปากนี้ได้- การสูบบุหรี่
นอกจากการสูบบุหรี่จะเป็นอันตรายต่อสุขภาพทั่วไปของผู้สูบและคนรอบข้างแล้ว
ยังเป็นปัจจัยที่ทำให้ผู้สูบเป็นโรคปริทันต์รุนแรงมากขึ้นด้วย
และกลิ่นของบุหรี่ที่ตกค้างอยู่ในช่องปากผสมกับกลิ่นอื่นๆ
ทำให้เกิดกลิ่นเหม็นเฉพาะตัวขึ้นได้- การหายใจทางปากบ่อย ทำให้น้ำลายแห้ง
ดังนั้นการหายใจทางปากจึงส่งผลให้แบคทีเรียมีการเจริญเติบโตเพิ่มจำนวนได้มากขึ้น
และเกิดกลิ่นปากได้มากขึ้นเช่นกัน อาหารที่ทำให้เกิดกลิ่นปาก เช่น หัวหอม
หัวกระเทียม เครื่องเทศ สะตอ และแอลกอฮอล์
การรับประทานอาหารพวกนี้จะทำให้มีกลิ่นปากได้
แต่โดยธรรมชาติอาหารพวกนี้เมื่อถูกย่อย ดูดซึม และขับถ่ายออกแล้ว
กลิ่นก็จะหายไปได้เอง
กลิ่นปากที่มีสาเหตุจากระบบต่างๆ
ของร่างกาย เช่นโรคในระบบทางเดินหายใจส่วนบน เช่น
ไซนัสอักเสบ โรคทอนซิลอักเสบ โรคมะเร็งที่โพรงจมูก โรคในระบบทางเดินหายใจส่วนล่าง
เช่น โรคเกี่ยวกับระบบย่อยอาหาร โรคปอดเรื้อรัง วัณโรคปอด หรือมะเร็งปอด
โรคของระบบขับถ่าย
คนส่วนใหญ่มักไม่รู้ตัวว่ามีกลิ่นปากจริงหรือไม่
?วิธีทดสอบง่ายๆ
โดยทั่วไปคือ- ใช้วิธีการเอามือปิดปากและจมูก เป่าลมแรงๆ ออกจากปาก และดม
ซึ่งบางคนก็สามารถบอกได้ว่ามีกลิ่นปากหรือไม่- ใช้วิธีเลียที่ข้อมือและดมดู
ในบางคนอาจจะใช้นิ้วมือถูที่บริเวณเหงือก แล้วนำมาดมกลิ่นว่าเหม็นหรือไม่-
ใช้วิธีขอร้องให้คนใกล้ชิดช่วยบอกก็ได้
การดูแลและแก้ไขการมีกลิ่นปากให้ได้ผลข้อควรปฏิบัติในการดูแลรักษาไม่ให้เกิดกลิ่นในช่องปาก
คือ- ต้องมั่นดูแลอนามัยของช่องปากให้สะอาดอยู่เสมอ
และรักษาสภาวะในช่องปากให้เป็นปกติ- หากมีสภาพเหงือกหรือฟันที่เป็นโรค ควรรีบรักษา
หรือปรึกษาทันตแพทย์ทันที- ในกรณีที่มีฟันเก
มีซอกเหงือกหรือร่องเหงือกที่เป็นแหล่งทำให้มีเศษอาหารตกค้าง
ควรใช้ไหมขัดฟันช่วยทำความสะอาดที่บริเวณนั้นเพิ่มขึ้นจากการแปรงฟัน-
ลิ้นก็ควรแปรงให้สะอาดและแปรงให้ลึกถึงโคนลิ้น- ควรดื่มน้ำให้เพียงพอ
เพื่อป้องกันอาการปากแห้ง
ไตรกลีเซอไรด์
ไขมันในเลือดชนิดหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตและสุขภาพของเรา
นั่นก็คือ ไตรกลีเซอไรด์ ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจ และผู้หญิงที่มีไตรกลีเซอไรด์สูงเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นมะเร็งเต้านมอีกด้วย......
ไตรกลีเซอไรด์สูง : เสี่ยงโรคหัวใจ& มะเร็งเต้านม ไขมันชนิดนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์ ได้เช่นเดียวกับการมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์ปริมาณสูงทำให้เลือดข้นเหนียวขึ้น เกิดการจับตัวกันเป็นลิ่มและอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากๆ อาจจะทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบได้ ในผู้หญิงระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นด้วย เพราะไตรกลีเซอไรด์ที่สูงจะไปกระตุ้นให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ไหลเวียนอยู่สูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นมะเร็งเต้านม
ไตรกลีเซอไรด์สูง : เสี่ยงโรคหัวใจ& มะเร็งเต้านม ไขมันชนิดนี้เป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการเสื่อมของหลอดเลือดแดง ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหัวใจขาดเลือด อัมพาต อัมพฤกษ์ ได้เช่นเดียวกับการมีคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ไตรกลีเซอไรด์ปริมาณสูงทำให้เลือดข้นเหนียวขึ้น เกิดการจับตัวกันเป็นลิ่มและอุดหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงส่วนต่างๆ ของร่างกาย โดยเฉพาะหัวใจและสมอง ระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงมากๆ อาจจะทำให้เกิดโรคตับอ่อนอักเสบได้ ในผู้หญิงระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงทำให้มีความเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งเต้านมสูงขึ้นด้วย เพราะไตรกลีเซอไรด์ที่สูงจะไปกระตุ้นให้ระดับฮอร์โมนเอสโตรเจนที่ไหลเวียนอยู่สูงขึ้นด้วย ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญของการเป็นมะเร็งเต้านม
7
วิธีลดเสี่ยงจากไตรกลีเซอไรด์ ระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือดปกติไม่ควรเกิน
150
มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
และถ้าพบว่าสูงมากกว่า 200 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร
ควรควบคุมโดยการคุมอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาหารประเภทแป้งและน้ำตาล
อาหารที่มีไขมันมาก และงดสูบบุหรี่ รวมถึงลดการบริโภคแอลกอฮอล์ทุกประเภท
และถ้าคุณเป็นอีกคนที่อยากลดความเสี่ยงกับการมีไตรกลีเซอไรด์สูง
ก็ควรปรับไสฟ์สไตล์และดูแลสุขภาพตัวเองดังนี้ค่ะ
1.ระวังแป้งและน้ำตาล ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงผิดปกติเกิดจากการได้รับพลังงานหรือแคลอรีมากเกินไป
การกินขนมหวาน
หรือกินอาหารที่ทำจากแป้งมากเกินไปทำให้ร่างกายสร้างไตรกลีเซอไรด์แล้วขับเข้าสู่กระแสเลือดมากเกินไป
จึงควรลดปริมาณอาหารที่ให้แคลอรี่สูง เช่น ของหวานหรืออาหารที่มีน้ำตาลมาก
รวมถึงอาหารจำพวกแป้งด้วย หรืออาจจะเลือกกินคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน
หรือประเภทที่มีกากใยอาหาร เช่น ข้าวซ้อมมือ
เมล็ดธัญพืชไม่ขัดสีแทนอาหารจำพวกแป้งขัดสีที่กินอยู่เป็นประจำก็ได้เช่นกัน
2.ครบ
3
มื้อ ไม่ควรงดอาหารมื้อใดมื้อหนึ่งโดยเฉพาะมื้อเช้า
ควรกินมื้อเช้าให้อิ่ม
เพราะพลังงานที่ได้จากมื้อเช้าจะถูกนำไปใช้ในการทำกิจกรรมต่างๆ ตลอดวัน
การกินอาหารมื้อเช้าให้พลังงานประมาณ 1 ใน 4 ของพลังงานที่ร่างกายต้องการใน 1
วัน
ซึ่งเท่ากับปริมาณพลังงานที่ควรได้รับในมื้อเย็น
ที่เหลือประมาณครึ่งหนึ่งควรได้จากมื้อกลางวัน และอาหารว่างมื้อเล็กๆ
การรับประทานอาหารแบบนี้จะทำให้ไม่มีพลังงานเหลือนำไปสร้างเป็นไตรกลีเซอไรด์ได้
3.ถูกสัดส่วน อาหารแต่ละมื้อควรมีสัดส่วนของโปรตีน
คาร์โบไฮเดรต และไขมันในปริมาณพอเหมาะ ไม่ควรกินอาหารจำพวกนี้มากเกินไป
ควรหลีกเลี่ยงอาหารไขมันสูง เนื้อสัตว์ติดมัน นอกจากนี้ควรกินปลา ผักผลไม้
และอาหารที่มีกากใยให้ได้ครบในแต่ละวัน
4.ควบคุมไขมัน การลดอาหารไขมันช่วยทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดลดลงได้
ดังนั้นจึงควรหลีกเลี่ยงอาหารทอดหรือผัดที่ใช้น้ำมันมากในการประกอบอาหาร
รวมทั้งไขมันจากอาหารต่างๆ เช่น เนย มาการีน น้ำมันพืช กะทิ หรือไขมันสัตว์
ยกเว้นไขมันจากปลาทะเลที่มีกรดไขมันโอเมกา 3 (omega-3) จากการศึกษาวิจัยพบว่า
กรดไขมันโอเมกา ช่วยลดการสังเคราะห์ไตรกลีเซอไรด์ในตับได้
ดังนั้นใครที่มีปัญหาไตรกลีเซอไรด์สูง หากได้กินปลาทะเล ไม่ควรทอดนะคะ
ควรปรุงด้วยวิธีการนึ่ง 2-3 มื้อต่อสัปดาห์
จะช่วยลดไตรกลีเซอไรด์ในเลือดได้ค่อนข้างดี
5.งดบุหรี่และแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่
และดื่มเหล้าหรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์จะไปกระตุ้นตับให้ผลิตไตรกลีเซอไรด์มากขึ้น
และยังทำให้การเคลื่อนย้ายไขมันออกจากเลือดได้ช้ากว่าปกติด้วย
ดังนั้นควรงดสูบบุหรี่ งดการดื่มเบียร์ เหล้า หรือเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ต่างๆ
6.ควบคุมน้ำหนักตัว ภาวะไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูง
ยังพบได้บ่อยในคนอ้วนโดยเฉพาะอย่างยิ่งอ้วนแบบลงพุงกะทิ
ฉะนั้นถ้ามีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐานควรพยายามลดน้ำหนักตัวลงบ้าง
ไม่ได้หมายความว่าต้องผอมบางอย่างดารานางแบบนะคะ
เพียงแต่พยายามลดน้ำหนักตัวลงให้ได้ร้อยละ 5-10 จากน้ำหนักเดิม และการลดน้ำหนักที่ดีที่สุดคือ
การควบคุมปริมาณอาหาร ร่วมกับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอค่ะ
7.ระวังยา การกินยาบางชนิดอาจทำให้ไตรกลีเซอไรด์ในเลือดสูงขึ้นได้
เช่น ยาขับปัสสาวะ ไธอาไซด์ ฮอร์โมนเพศหญิง ยาคุมกำเนิดบางชนิด
หากต้องกินยาเหล่านี้ควรปรึกษาแพทย์ และมีการตรวจระดับไตรกลีเซอไรด์อย่างสม่ำเสมอ
8.ออกกำลังกาย ควรทำตัวกระฉับกระเฉงอยู่เสมอ
การได้ออกกำลังกายระดับปานกลางวันละอย่างน้อยครึ่งชั่วโมง 3-4 วันต่อสัปดาห์
จะช่วยเผาผลาญแคลอรีได้อย่างมีประสิทธิภาพ
หรือหากไม่มีโอกาสไปออกกำลังกายอย่างจริงจัง การเดินหรือทำงานบ้านให้ได้เหงื่อสักเล็กน้อยทุกวันนั้นก็ดีต่อสุขภาพ
และช่วยป้องกันได้อีกหลายโรคเลยล่ะค่ะ หลายๆ
คนอาจจะกลัวว่าไขมันจะทำให้เสียหุ่นสวย
แต่เอาเข้าจริงแล้วไขมันร้ายอย่างไตรกลีเซอไรด์มีพิษสงร้ายกาจที่น่ากลัวมากกว่าที่คิด
เพราะฉะนั้นต้องใส่ใจดูแลสุขภาพกันให้ดีจะได้ห่างไกลโรคค่ะ
Subscribe to:
Posts (Atom)