4.1.09

อัมพาต กับ ผู้สูงอายุ

อัมพาตคืออะไร

ในปัจจุบันที่คนเรามีอายุยืนขึ้น เนื่องมาจากปัจจัยหลายประการ เช่น การที่เรามีการดูแลสุขภาพร่างกาย การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ การพักผ่อนที่เพียงพอและการรับประทาน อาหารที่เป็นประโยชน์ เป็นต้นในทางตรงกันข้าม ถ้าเราละเลยสิ่งเหล่านี้ เช่น นอนดึก สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอลเป็นประจำทำให้เกิดเจ็บป่วยเป็นโรคต่างๆได้ เช่น เบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคตับและในบรรดาโรคต่างๆเหล่านี้ โรคอัมพฤกษ์ อัมพาต เป็นโรคหนึ่งที่ไม่เพียงมีผลต่อผู้ป่วยเอง แต่ยังมีผลกระทบ อย่างมากต่อญาติของผู้ป่วยด้วย ทั้งในแง่เวลา ค่ารักษาพยาบาล และการขาดรายได้ของญาติที่ต้องคอยพาผู้ป่วยมาหาแพทย์ ดังนั้นโรคอัมพาตจึงมีผลกระทบอย่างมาก ต่อเศรษฐกิจโดยรวมด้วย

อัมพาต(Stroke) เป็นคำที่ใช้เรียกอาการอ่อนแรงครึ่งซีกของร่างกาย หรือครึ่งท่อนล่างของร่างกาย ที่มีสาเหตุจากโรค หลอดเลือดสมอง หรือ ไขสันหลัง ซึ่งเกิดจากหลอดเลือดตีบหรือแตกก็ได้
องค์การอนามัยโลก(World Health Organization;WHO)ได้ให้คำจำกัดความไว้ว่า

"เป็นอาการที่เกิดอย่างปัจจุบันทันทีต่อการทำงานของสมองบางส่วน หรือทั้งหมด
โดยที่อาการนั้นเป็นอยู่นานเกิน 24ชม. หรือทำให้สูญเสียชีวิต ซึ่งมีสาเหตุมาจาก โรคของหลอดเลือดเท่านั้น"

คำว่า "อัมพาต" เรามักจะหมายถึงอาการอ่อนแรงจนไม่สามารถขยับเขยื้อนร่างกายได้เลยส่วนคำว่า "อัมพฤกษ์" เราหมายถึงอาการอ่อนแรงที่ผู้ป่วยยังพอขยับร่างกายส่วนนั้นได้บ้าง โดยทั่วไป เรามักจะนึกว่า อัมพาต อัมพฤกษ์ จะต้องมีอาการอ่อนแรงเสมอ แต่โดยความเป็นจริงแล้ว การที่มีอาการชา หรือมีความรู้สึกลดน้อยลงครึ่งซีก ทั้งในแง่การรับรู้สัมผัส ความเจ็บปวด ความรู้สึกร้อนหรือเย็น ที่ลดลงก็เกิดจากโรคหลอดเลือดสมองได้ทั้งสิ้น อาการจะต้องเกิดในทันทีทันใด เช่น ตื่นนอนเช้า ขณะกำลังทำงาน หรือ กำลังทำกิจวัตรต่างๆ แล้วมีอาการชา หรืออ่อนแรง ในบางคนอาจจะมีอาการเตือนมาก่อน เช่น มีอาการอ่อนแรงครึ่งซีก ตาข้างหนึ่งข้างใดมองไม่เห็นชั่วระยะเวลาสั้นๆ แค่เป็นนาที หรือเป็น ชม. แล้วอาการดีขึ้นเป็นปกติ ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีอาการเตือนแล้วรีบมาพบแพทย์ก็จะมีประโยชน์ในแง่ของ การป้องกัน การเกิดอัมพาต อัมพฤกษ์ได้

อัมพาตพบในผู้สูงอายุบ่อยแค่ไหน จากการศึกษาของต่างประเทศพบว่า อัมพาตจะพบมากขึ้นตามอายุทั้งเพศชายและหญิง เช่น
อายุ 45-54ปี พบอัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 1000ราย
อายุ 56-64ปี พบอัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 100 ราย
อายุ 75-84 ปี พบอัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 50ราย
อายุ มากกว่า 85 ปี พบอัมพาต ประมาณ 1 ต่อ ประชากร 30 ราย


นอกจากนี้ยังพบว่าผู้ชาย มีความเสี่ยงมากกว่าผู้หญิง ในช่วงอายุ 45-64 ปี แต่ถ้าอายุมากกว่า 65 ปีแล้ว โอกาสในการเกิดอัมพาต จะค่อนข้างเท่ากัน

อะไรเป็นสาเหตุของอัมพาต
จากการศึกษาพบว่า ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดหัวใจ หัวใจเต้นไม่เป็นจังหวะ เบาหวาน สูบบุหรี่การดื่มแอลกอฮอล ล้วนเป็นสาเหตุสำคัญของการเกิด อัมพาตทั้งสิ้น เช่น
ผู้ที่มี ความดันโลหิตสูง มีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่า คนที่ไม่เป็นประมาณ 2-4 เท่า
ผู้ที่มี โรคหลอดเลือดหัวใจ มีโอกาสเป็นอัมพาตมากกว่า คนไม่เป็นประมาณ 1-3 เท่า
เป็นต้น ดังนั้น การควบคุม ปัจจัยเสี่ยงเหล่านี้จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง


ทำอย่างไรจึงจะป้องกันอัมพาตได้
ดังได้กล่าวมาแล้ว การควบคุมปัจจัยเสี่ยงล้วนสามารถป้องกันการเกิดอัมพาตได้ การป้องกันในระยะที่ยังไม่มีอัมพาตเป็นสิ่งที่แพทย์ สามารถให้คำแนะนำได้
ในผู้ที่มีอายุมากกว่า 45ปี ขึ้นไป โดยเฉพาะผู้ที่สูบบุหรี่จัด มีประวัติเบาหวานในครอบครัว
จำเป็นต้องได้รับการตรวจร่างกาย วัดความดันโลหิต เอ็กซเรย์ปอด คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจเลือดหาระดับน้ำตาล ไขมัน


ตลอดจนการตรวจหาเชื้อ ซิฟิลิสในเลือด อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง
จะเป็นการทำให้เราทราบว่ามีโรคประจำตัวหรือไม่ เมื่อพบว่ามีโรคเหล่านี้ตั้งแต่ระยะแรกๆ จะทำให้
การควบคุมและป้องกัน ผลแทรกซ้อนของโรคสามารถทำได้ง่าย

สำหรับผู้ป่วยบางรายที่มีโรคอัมพาตอยู่แล้ว และกำลังรักษาอยู่ สิ่งที่สำคัญก็คือ ทำอย่างไรให้อาการนั้นดีขึ้น และป้องกันไม่ให้เกิดอัมพาตซ้ำ การควบคุมอาหาร เลือกรับประทานแต่อาหารที่มีประโยชน์ เช่น ผู้ป่วยที่มีโรคเบาหวาน ควรควบคุม อาหารรสหวานทุกชนิด เช่น ทองหยิบ ทองหยอด ฝอยทอง ผลไม้รสหวานทุกชนิด อาหารจำพวกแป้ง เช่นข้าว ขนมปัง เป็นต้น แนะนำให้รับประทานผลไม้จำพวกส้ม หรือมะละกอ
ส่วนผู้ที่มีไขมันในเลือดสูง ถ้ามีไขมัน คลอเรสเตอรอลสูง ควรงดอาหารจำพวก ไข่แดง ข้าวขาหมู ข้าวมันไก่ ปลาหมึก หอยนางรม กุ้ง เป็นต้น แต่ถ้ามีไขมัน ไตรกรีเซอไรด์สูง ควรงดอาหารจำพวกแป้งดังกล่าวมาแล้ว นอกจากนี้ควรรับประทานยาและออกกำลังกาย อย่างสม่ำเสมอ รวมทั้งหมั่นไปพบแพทย์ เป็นระยะๆ จะช่วยให้อาการเหล่านั้นดีขึ้น และยังป้องกันไม่ให้อัมพาตซ้ำ

ผลที่เกิดกับผู้ป่วยอัมพาต ผู้ป่วยที่เป็นอัมพาตในระยะแรกพบว่าจะมีอาการเลวลงได้ถึง 30% ถ้ามีโรคแทรกซ้อน เช่น น้ำตาลในเลือดสูง ปอดบวม หรือชัก ก็ยิ่งมีอัตราการเสียชีวิตสูงขึ้นไปอีก ในช่วงเดือนแรก หลังเกิดอาการพบว่ามีอัตราตายถึง 25% และใน 1 ปีมีอัตรา ตายถึง 40%

โอกาสที่จะเป็นอัมพาตซ้ำในระยะ 1 เดือนแรกหลังเกิดอัมพาตพบได้ถึง 3-5 % และ 10% ใน 1 ปี

เมื่อเราติดตามผู้ป่วยเหล่านี้ต่อไปจะพบว่า ผู้ป่วยจะไม่สามารถทำงานได้ถึง 50% ซึ่งในจำนวนนี้ มีถึง 25% ที่ต้องอยู่ในสถานพยาบาลเป็นเวลานาน นอกจากนี้ 30 %ของผู้ป่วยจะเกิดโรคสมองเสื่อมตามมา

สรุป จะเห็นได้ว่า โรคอัมพาตเป็นโรคที่ทำให้เกิดความสูญเสียทั้งในแง่ของตัวผู้ป่วยเอง ญาติพี่น้องที่จะต้องดูแลช่วยเหลือทำให้ มีผลกระทบต่อเศรษกิจในครอบครัวและส่วนรวม การป้องกันโรคอัมพาต สามารถทำได้ โดยการคอยตรวจสุขภาพ ร่างกายสม่ำเสมอ ก็จะช่วยเราสามารถมี ชีวิตที่มีความสุขช่วยเหลือตนเองได้ ไม่ต้องเป็นภาระของครอบครัว


ที่มา : นพ.สามารถ นิธินันท์ อายุรแพทย์